แต่งห้องสวยด้วยงบประหยัด
- Sukrit Udom
- Feb 19, 2017
- 5 min read

INTRODUCTION
เม้ามอยก่อนเข้าเรื่องกันสักน้อยตามสไตล์กะเท้ยกะเทยยย ช่วงนี้แบบว่าหลังจากอ่านหนังสือ Rich dad, Poor dad เล่ม 1 จบไป กำลังต่อเล่ม 2 รู้สึกว่าแบบ มีความ wanna be a financial intellectual ขึ้นมาทันทีเจ้าค่ะ จะเห็นได้ว่าหลังๆมานี้ กะเทยพยายามทำตัวมีสาระมากขึ้นสุดฤทธิ์ 555 (แต่ก็ยังเขียนผิดๆถูกๆเหมือนเดิม ด่าได้แต่อย่าแรง เพราะผิดไปแล้ว คิคิคิ)
เข้าเรื่องค่ะเข้าเรื่อง วันนี้เราจะมาเม้ามอยกันเรื่องการแต่งห้องกันค่ะ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีก่อนสมัยธุรกิจห้องเช่าเฟื่องฟู เรียกได้ว่าปริมาณห้องเช่ามีไม่พอต่อความต้องการกันเลยทีเดียว นักลงทุนทั้งหลายก็เลยชิวๆง่ายๆสบายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายกับการซื้อข้าวของเครื่องใช้ เรียกได้ว่าเดินไป index เอานี้จิ้มชุดสุดคุ้ม 29,990 บาท ได้ครบ sofa ตู้ทีวี โต๊ะกาแฟ เตียง ตู้เสื้อผ้า แล้วรูดบัตรปรื้ดเดียว ก็จบงานละ
แต่ด้วยความที่ธุรกิจมันเฟื่องฟูมากๆ ใครๆก็เลยหันมาลงทุนซื้อคอนโดปล่อยเช่ากันเยอะ การแข่งขันก็สูงปรี๊ดดด แค่เลือกคอนโด เลือกทำเลก็ยากแล้ว ยังต้องมาแข่งกันเองภายในตึกอีก แล้วสมัยนี้แต่ละเจ้าทุ่มกันสุดพลังจ้า จำได้เลยว่าสมัยก่อน คอนโดห้องละ 10-20 ล้านย่านทองหล่อ นางเอาตู้เสื้อผ้าแม่บ้าน (อย่าเรียกตู้เสื้อผ้าเลยค่ะ ไอ้ถุงๆที่แบบมีซิปรูดอะ) กับ furniture ที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ index, SB มาลงแล้วก็ปล่อยเช่าละ เครื่องซักผ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีให้ค่ะ ไปหยอดเหรียญหรือส่งร้านซักรีดเอาค่ะ แต่สมัยนี้นะคะ แต่ละเจ้าจัดเต็มเวอร์ บิ้วอิน ติด wall เครื่องไฟฟ้าครบครัน แย่งลูกค้ากันสุดฤทธิ์ แต่จากที่เห็นเนี้ย ห้องที่แต่งสวย ก็ได้ราคาดีกว่าจริงๆค่ะ ส่วนห้องที่ยังคงแต่งแบบไม่ลงทุนๆเนี้ย ราคาค่าเช่าก็แย่กว่าอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
นอกจากจะในมุมของการลงทุนแล้ว การอยู่อาศัยเองก็สำคัญค่ะ คนเราตื่นมาตอนเช้า เห็นห้องตัวเองสวยๆ มันก็มีความสุขค่ะ ถ้าห้องไม่สวยก็อยากออกไปนอกบ้าน ไปอยู่ในที่สวยๆ พอออกนอกบ้านก็ใช้เงินอีก เปลืองเงิน แทนที่จะเอาเงินไปลงทุนให้เกิดผลกำไรงอกเงย จริงปะ?
แถมที่สำคัญเวลาพาผู้ชายมาห้อง ผู้ชายก็จะได้ว้าววววว ประทับใจ หลอกกิน หลอกเชือดได้ง่าย เอ้ย เกี่ยวไหมเนี้ย 555 แต่ถ้าห้องรกเละ ผู้ชายก็อาจจะแบบ ว้าย ขอตัวกลับก่อนนะคะ 555 (ออกแนวไร้สาระละ)
แล้วเวลาจะขายต่อ อะไรมันก็ดูดีมีราศีกว่าแน่นอนค่ะ
ปล. ไอ้รูปที่เอามาลงเนี้ย เป็นห้องตัวอย่างของโครงการ NYE นะคะ ห้องนี้ไม่ได้งบประหยัดเลยค่ะ 555 แต่หารูปไม่ได้จริงๆ จะเอารูปจากเว็ปอื่นก็กลัวโดนฟ้อง เลยต้องเอารูปที่ตัวเองถ่ายเองเนี้ยแหละค่ะ อีกอย่างรูปมันสวยจะได้หลอกล่อให้พวกเธอเข้ามาอ่าน 555
ปล.2 กะเทยไม่ได้เรียนอะไรพวกนี้มาหรอกนะคะ แต่ว่าทำงานด้าน art & marketing มาตลอดค่ะ ก็เลยครูพักลักจำมาค่ะ
ก่อนจะเริ่มซื้อของ
เห็นหลายคนมากเลยค่ะ อารมณ์แบบเดินไปเจอนั้น อุ้ยสวย ซื้อ เจอนี้ อุ้ยสวย ซื้อ เจอนู้น อุ้ยสวย ซื้อ สรุปพอเอามารวมกัน เละค่ะ!
ไม่ได้นะคะ คุณพี่ขา สิ่งแรกที่คุณที่ต้องทำเลยนะคะ คือการสำรวจก่อนค่ะ ทั้งสำรวจแรงบันดาลใจ และสำรวจตัวเองค่ะ
1. สำรวจแรงบันดาลใจ - พูดกันตรงๆ เราไม่ได้เรียน interior design มาบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าอีแบบนี้มันเรียกว่าอะไร กะเทยเจอบ่อยมาก บางคนเรียก Contemporary ว่า Minimalist หรือเรียก Minimalist ว่า Loft กะเทยแบบ มันคนละเรื่องกันเลยค่ะพี่!!! ฉะนั้น ช่างมันค่ะ ไม่ว่ามันจะเรียกว่าอะไรก็ตามลืมๆมันไปค่ะ แต่สิงแรกที่ต้องทำ! ย้ำนะค่ะว่าต้องทำ! คือการไปเที่ยวเล่นตามคอนโดต่างๆที่เราคิดว่าเค้าแต่งห้องตัวอย่างสวยถูกใจเราค่ะ ดูให้เยอะๆค่ะ ถ้าเค้าให้ถ่ายรูปก็ถ่ายเก็บไว้ ถ้าเค้าไม่ให้ถ่ายก็แอบถ่าย เอ้ย! ไม่ใช่ 555 ก็มาเข้าพวกเว็ปรีวิวคอนโดเช่น thinkofliving หรือ propholic save รูปเก็บไว้ค่ะ
บางคนอาจจะแบบ อ้าวแล้วจะเสียเวลาไปทำไมยะ ก็ดูจากเว็ปเอาสิ? มันไม่เหมือนกันนะคะ บางทีรูปที่เราเห็นนี้ แต่งแสง ปรับเลนส์อะไรกันมาสะสวยงามอลังการงานสร้าง พอไปเห็นของจริงแล้วแบบ อ้าวเห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี้หว่า นึกว่าเธอใช้ app แต่งรูปผิวขาว หน้าเนียน เอวคอดมาเลย อ้าว ผิดเรื่อง อิอิอิ
การได้ไปดูของจริงมันยังมันก็ดีกว่าค่ะ ลองไปเดิน ไปยืน ไปนั่ง แล้วดูสิว่า layout แบบนี้เราชอบไหม หรือมีของแบบไหนเยอะ เช่นหนังสือเยอะ ห้องตัวอย่างไรที่ดูมีที่เก็บหนังสือได้เยอะ แล้วยังดูสวย ดูไม่แน่นไม่รก พยายามอย่าไปฟัง sale ค่ะ นางจะพล่ามอะไรก็ปล่อยไป ให้เอาเวลามาลองนึกว่าถ้าเราอยุ่จริงในห้องนั้นๆจะเป็นไงบ้าง เรามี lifestyle ยังไง เช่นบางคนชอบนอนดูซีรี่ อาจจะต้องการ sofa ที่ปรับเป็นเตียงได้ บางคนชอบอ่านหนังสือ อาจจะต้องการ reading window บางคนโตมากับ Carrie Bradshaw แบบกะเทยงี้ ก็ต้องเอาโต๊ะทำงานไว้ติดหน้าต่างเป็นต้น เก็บรูปและประสบการณ์มาให้ได้เยอะๆๆๆที่สุดค่ะ
2. สำรวจตัวเอง - บางทีห้องสวย แต่อาจจะไม่ตรงจริตเรา จริงปะคะ ฉะนั้นต้องสำรวจตัวเองด้วยว่าเราเป็นแนวไหน ไม่ใช่ว่าผู้ชายร่างล่ำ แต่งห้องเป็นสไตล์ vintage หรือสไตล์เจ้าหญิงงี้ มันก็จะดูเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงมากไปนะคะ 555 ต้องหาสไตล์ให้เจอค่ะ ชอบ Loft หรือ modern cutting edge หรือ contemp
(ถ้างงว่าแกพูดภาษาอะไรของแกวะ จะอธิบายให้ฟังมั่วๆประมาณนี้นะคะ
Loft มันเริ่มมาจากสมัยหลังยุคอุตสาหกรรมเนี้ย โรงงานทิ้งร้างมันเยอะ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) คนก็เลยเริ่มย้ายเข้าไปอยู่กันค่ะ แล้วพวกโรงงานเค้าก็ไม่ได้เน้นสวยงามชิมิค่ะ กำแพงก็ยังเป็นอิฐแดงๆ ไม่ได้ฉาบเรียบ หลังคาก็ยังเป็นโครงเหล็กๆ พื้นก็ปูนเปลือย อะไรแบบนี้ มันก็เลยเป็นการประยุกต์มาจากสไตล์การอยู่อาศัยในโรงงานนั้นเอง หรือที่เค้าเรียกเต็มๆว่า Industrial Loft ค่ะ ส่วนมากจะชอบใช้วัสดุพวก เหล็ก ไม้ หนัง หรือถ้าจะเอา หรูๆ ก็พวกสี copper มาช่วย

รูปการตกแต่งสไตล์ Loft จาก sansiri.com/blog
Modern หรือ cutting edge ก็อารมณ์แบบ ล้ำนำสมัยเวอร์ๆ นึกว่าอยู่ในยานอวกาศอะไรแบบนี้ เน้นรูปทรงล้ำๆ ไม่ค่อยใช้พวกไม้นะคะ ส่วนมากจะเป็นงานพ่นสี high gloss หรือวัสดุที่ดูวาวๆ แต่ก็แล้วแต่แนวด้วย

รูปแสดง cutting edge จาก ananda.co.th
Contemp คือร่วมสมัยค่ะ อันนี้แต่งง่ายสุด คือเอาของมาปนๆกันได้แต่ก็ต้องออกมาแล้วดูเข้ากันนะคะ เช่นเก้าอี้อาจจะดู vintage cottage แต่ชั้นหนังสือดูหรูหรา แต่ Tone สีอะไรไปทางเดียวกันค่ะ) เจ้าแม่ comtemp ต้องยกให้พี่แสนค่ะ

รูปตัวอย่างโครงการ NYE by Sansiri จาก goldenemperor.com
Minimal นี้อธิบายง่ายมากค่ะ คืออย่าเยอะ! 555 มีพระเอกชิ้นเดียวพอ จบ ที่เหลือเรียบๆ อย่า detail

รูปตัวอย่างสไตล์ minimal จาก wisont.wordpress.com
พอรู้แล้วว่าตัวเองชอบสไตล์แบบไหน ต่อไปก็ต้องเป็นโทนสีค่ะ อันนี้บังคับนะคะ ให้เลือกโทนสีที่ชอบมาแค่ 1-2 สีเท่านั้น เพราะสีที่ 3 มันจะโผล่มาแบบไม่ตั้งใจแน่นอนค่ะ 555 ฉะนั้น ถ้าเลือก 3 เนี้ย มันจะโผล่มา 4-5 ได้ค่ะ แล้วจะเริ่มไม่เข้าพวกละ สำหรับโทนสีไหนเข้ากันยังไง ก็ต้องลองดูตามเว็ปแหละห้องตัวอย่างค่ะ โทนสีที่เล่นง่ายสุดก็ ขาว-ดำ ค่ะ แต่ข้อเสียคือมันจะดูแข็ง ไม่อบอุ่นเท่าไร ต้องเอาพวกสีน้ำตาลสีครีมมาช่วยเสริม หรือถ้าชอบหรูหรา ก็อาจจะ ดำ-ทอง / ขาว-ทอง ถ้าปีที่ผ่านมา เขียวเข้ม-ทองก็เป็น trend ที่กำลังมาแรงทีเดียว ชอบคู่นี้ไหน แนะนำให้ลองดูรูปเยอะๆค่ะ จะได้มี idea ว่าอันไหนโดนใจเรา เรามองว่าสวย
ที่สำคัญมากๆๆๆ ที่อยากให้เอาแรงบันดาลใจจากห้องตัวอย่างเพราะว่า อย่างแสนงี้ เค้าจ้าง designer มาแพงมากกกกกกกก (ห้องตัวอย่างใน sales gallery นะคะ ไม่ใช่อันตึกเสร็จแล้ว และต้องยกเว้น dcondo กับ the base ด้วยนะคะ แต่ base garden ล่าสุดสวยนะ 555) ฉะนั้นในเมื่อเค้าจ้างมืออาชีพมาขนาดนั้น ถ้าเราแต่งตาม ยังไงก็สวยชัวร์ บางคนอารมณ์แบบมั่นมากคิดว่าฉันเก่งไม่ต้องตามใคร สรุปออกมาเละค่ะ
บางคนอาจจะแบบ แหม ก็เค้าใช้ของแพง ก็ต้องสวยสิ อันนี้กะเทยอยากจะบอกว่า ก็ไม่ต้องตามเค้าเป๊ะๆปะ เช่นถ้าเค้าใช้ sofa Fendi สีดำตัวละ 3 แสน ก็ไม่ได้แปลว่า sofa ikea สีดำตัวละ 12,000 จะสวยน้อยกว่าล้านเท่าปะ ก็ประยุกต์ๆบ้างก็ได้ เอาให้คล้ายๆค่ะ แถมของ brand ดี designer ดังก็มีของ copy ให้เลือกใช้เยอะแยะค่ะ
Step 1 - วัดแล้ววัดอีก
อันนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ชนีมักพลาดประจำ คือซื้อไปก่อน ไม่รู้ขนาด คงได้แหละ สุดท้ายพอเอามาลง อ้าย อิบหอาย ใหญ่ไปค่ะ
ฉะนั้น กรุณา Print Plan หรือ Layout ห้องออกมา วัดทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด จะกว้างจะยาวจะสูงจะลึกอะไรวัดให้หมดค่ะ วัดเสร็จไปถามนิติด้วยว่าตรงไหนบ้างที่เจาะได้ เจาะไม่ได้ ไม่ใช่ว่าซื้อมาเสร็จ อ้าว! นิติบอก ผนังฝั่งนี้รับน้ำหนักไม่ได้นะครับ ตรงนี้มีท่อนะครับห้ามเจาะ จบข่าวจ้าาา
Step 2 - ดู Tone สีห้องเปล่า
คอนโดหรือบ้าน มันจะมีโทนสีของโครงการอยู่แล้วค่ะ เช่น EDGE จะออกโทนสีดำๆเข้มๆหน่อย หรือ NYE ที่จะออกครีมๆทองๆ ถ้าเอาแบบง่ายๆไม่ advance ไม่อยากเสี่ยง ก็เลือกซื้อของตาม โทนสี เช่น EDGE มาดำ ก็เอาดำๆตามเค้าง่ายดี เอาจริงๆ ข้อนี้ไม่ได้จำเป็นมากค่ะ เพราะถ้าใจมันไม่ชอบยังไงก็ปรับเปลี่ยนได้ เพราะเราก็เห็นบ่อยที่โทนสีอาจจะมาดำ แต่ห้องตัวอย่างทำออกมาครีม ขาว แล้วสวย แต่มันก็จะมีวิธีช่วย ซึ่งจะเม้าให้ฟังในหัวข้อ blend สี
Step 3 - Check ก่อน Shop
ก่อนจะเสียทรัพย์ อยากให้ลอง check นิดนึงว่าช่วงไหนมีงาน เพราะปกติแล้วเนี้ยทุกอุตสหกรรมเค้าจะมี Mid Year Sale กับ Year End Sale อยู่แล้ว แทนที่เราจะไปซื้อราคาเต็ม ก็รอไปซื้อตอน Sale ดีกว่าปะ บางทีลดราคากันอลังการงานสร้างมาก คุ้มเวอร์ อย่างพวก Chanintr Living งี้ เวลามีงาน sale หลายคนไม่กล้าไป เพราะคิดว่าเฟอร์นิเจอร์นางต้องแพงมากกก ตัวเป็นแสนเป็นล้าน จะบอกว่า บางทีไปเจอสวยมาก ถูกเวอร์ก็มีค่ะ เพื่อนอิฉันได้กันมาเยอะแยะ (แต่อันนี้อาจจะเหมาะกับแต่งอยู่เองนะคะ เพราะเสียดายของค่ะ 555) อ้อลืมบอก ของสวยๆมันจะไปตั้งแต่วันแรกนะคะ ฉะนั้น อย่าช้า
อีกอย่างที่อยากให้เช็คคือพวกงาน บ้านและสวน หรือ BIG+BIH เพราะจะมีร้านเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านไปออกงานเยอะมาก เวลาไปงานก็ชาร์ตมือถือและ power bank ไปให้เต็มๆค่ะ เจอร้านไหนของสวยถูกใจก็เอาชื่อร้านมา search ใน facebook แล้วกด like page เค้าไว้ เผื่อเวลาเค้ามี sale ก็วิ่งไปซื้อได้ค่ะ อย่างกะเทยเนี้ย เจอร้านเฟอร์นิเจอร์สวยมากร้านนึง แต่ของแพ้งแพง กะเทยก็ไม่มีปัญญาซื้อค่ะ วันดีคืนดี แอบเล่น facebook ตอนทำงานอยู่ เจอนางโพสค่ะ ว่า clearance sofa จากตัวละ 36,000 เหลือ 8,000 มีแค่ 3 ตัวเท่านั้น (ก่อนหน้านี้เคยลดเหลือ 20,000 แต่ก็ไม่ได้เอาค่ะ) กะเทยรีบพุ่งตัวโบกแทกซี่ไปรูดบัตรทันทีค่ะ ปรากฏว่าพอไปถึงเหลือแค่ 1 ตัวแล้วค่ะ โชคดีเฟอร์ แถมเป็นขนเป็ดนุ่มมากกกกกกก คุ้มสุดๆ
แล้วก็อีกเรื่อง เวลาไปพวกร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อๆดังๆ ตามห้าง เน้นย้ำ ตามห้าง ก็อย่าไปเชื่อป้ายลดราคานางมาก กะเทยเห็นมันก็ลดตลอดปีตลอดชาติอะคะ แถมบางทีเจอ sofa ตัวเดียวกันเนี้ย มี 2 ป้าย ป้ายแรกบอก ลด 25% เหลือ 15,000 บาท อีกป้ายบอก ลด 70% เหลือ 15,000 บาท ของชิ้นเดียวกันคะ คือสรุปว่าแกราคาเต็มเท่าไรแน่คะ ฉะนั้น สนใจที่ราคาที่เราซื้อค่ะ ไม่ใช่ราคาเต็มก่อนลด เพราะมันหลอกลวงม้ากกกกกกกก
อ้อ นึกได้อีกเรื่องคือ เจเจ จะบอกว่าของที่เจเจสวยนะ ไม่ซ้ำไม่โหล ก็เดียวนี้ก็ไม่ได้ถูกแล้ว คงเพราะค่าเช่าที่แนวนั้นค่อนข้างแพงอยู่ อีกที่ที่อยากแนะนำคือ Central ใน Zone Retail ของแต่งบ้านสวยๆราคาไม่แพงเยอะมาก ควรไปลองส่องดูจ้า
คืออยากบอกว่า พยายามเดินเยอะๆค่ะ ดูเยอะๆ เก็บข้อมูลเยอะๆ
Step 4 - รู้จักเปรียบเทียบ
เช่นสมมติไปดูห้องตัวอย่างมาละ ชอบมาก จะแต่งแบบนี้แหละ แต่ห้องตัวอย่างใช้ Sofa ตัวละ 3 แสน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปบ้าซื้อตามเค้าค่ะ
เช่นนะ รูปนี้ห้องตัวอย่าง NYE by Sansiri

รูปจาก thebkkresidence.com
สมมุติ 3 อย่างที่อยากได้จากห้องนี้ คือ Sofa สีออกดำๆเทาๆ โต๊ะกลางแบบในรูป และตู้ทีวี
ปรากฏว่า sofa ยี่ห้อไรไม่รู้ แต่ราคาแพงมากกกกกกกกก ซื้อไม่ไหวค่ะ ทำไงค่ะ ไป ikea sb index ก่อนเลยค่ะ
อุ้ยเจออันนี้ค่ะในเว็ป ikea คล้ายๆเลย แถมราคาแค่ 9,990 บาท (แต่รู้สึกจริงๆจะ 12,000 นะ มีค่าผ้าคลุมอีก)


แต่ขาไม่สวยเลยอะ ขาไม้ๆไม่เข้าเลยทำไงดี ลองเอาชื่อรุ่น sofa ไป google ดีกว่า เผื่อเค้ามีวิธีทำไงให้มันสวยขึ้น อุ้ยเจอรูปนี้ ขาสวยเชียว แถมสีเข้มๆดูสวยกว่าด้วย ทำไงอะ ก็เข้าไปอ่านค่ะ

รูปจาก pinterest
อ่านแล้วก็เจอว่า ที่ ikea นางมีขาแบบนี้ขายค่ะ set ละ 800 บาท เปลี่ยนขาได้ สวยขึ้นเยอะ แถมผ้าก็มีให้เลือกหลายสีค่ะ
ต่อมาก็โต๊ะกลาง อันนี้ง่ายละ ไปเดินๆดูเจอ index เหมือนเป๊ะ จัดไปค่ะ แต่แบบในห้องตัวอย่างใน 3 ตัว เปลืองพื้นที่อะ เอาแค่ 2 ตัวละกันไม่เกะกะ ไม่เปลืองเงิน
ต่อมาก็ชั้นวางทีวี สมมติตรงกำแพงตรงนั้นยาว 145 cm แต่ไปหาหลายที่เจอแต่ 100 cm ไม่ก็ 150 cm ทำไงดี ถ้าติด 100 cm วางทีวีก็เต็มละ คงดูสั้นๆไม่สวย
อันนี้ต้องใช้ไหวพริบค่ะ คือแทนที่จะเดินแต่ตรงที่เป็นตู้ทีวี ก็เดินทั่วๆไป อาจจะเจอ แบบนี้

เอะ ตู้ครัวหรอ ขาวๆคล้ายๆเลยเนอะ ใช้แทนได้ไหมเนี้ย พอลองเข้าไปดู เจอ เห้ย มีหน้าบาน 40x140 cm อะ ส่วนตัวตู้ก็มี 60 กับ 80 รวมกันได้ 140 cm พอดี รอไรค่ะ จัดสิค่ะ ทำตู้ทีวีไปเลยค่ะ แล้วราคาถูกมาก ประมาณ 5,000 ค่ะ
อันนี้เป็นตัวอย่างนะจะ ก็ต้องลองไปหาของถูกที่มันคล้ายๆเหมือนๆมาลองเทียบดูค่ะ บางทีประหยัดไปได้เยอะมากค่ะ
Step 5 - รู้จัก Technic การ Blend สี
นี้พิมมาสักพัก เริ่มนึกได้ ว่าออกนอกเรื่องไปไกลมาก กลับมาค่ะกลับมา อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าเราอยากได้โทนสีแบบไหน
เช่นถ้าอยากได้ ขาวล้วน หรือ ดำล้วน ก็ไม่ต้องสนใจเทคนิคการ Blend สีก็ได้ค่ะ

รูปตัวอย่างห้องดำล้วนจาก thepolitancondo.com
แต่ถ้าสมมติเรามี 2-3 สี ในห้อง เราต้องเริ่มเรียนรู้เรื่องการ Blend สีละคะ เพื่อให้ของแต่ละชิ้น มุมแต่ละมุม มันดูกลมกลืนกัน ลองดูรูปตัวอย่างแล้วเดียวอธิบายไปกับรูปนะคะ อันนี้ห้องตัวอย่าง NYE by Sansiri

อย่างในรูปนี้จะเห็นว่า มีสีขาว ฟ้า สีดำ ทองนิดๆ
จะเห็นได้ว่าในรูปนี้มี 3 zone ครัว / กินข้าว / Living อยู่ติดกันชิมิค่ะ
โดยครัวเค้าเป็นสีดำ ตัดขอบทอง
Living เป็นสีขาว ฟ้า เรามาดูเฉพาะ Living ก่อน จะเห็นได้ว่า นางเลือกใช้ พรมสีฟ้า sofa ออกสีขาวๆ ซึงถ้ามีแค่นี้มันจะดูประหลาดมากว่าอีสีฟ้านี้โผล่มาได้ไง ดูไม่เข้าพวกอย่างแรง วิธีแก้คือการเอาหมอนอิงสีฟ้ามาวางบน sofa เป็นการช่วย Blend ให้มันกลมกลืนกันค่ะ รวมถึงกระจกที่ติดด้านหลัง sofa ที่เป็นลายเดียวกันหมอนอิง ช่วย Blend ให้ พื้น-sofa-ผนัง ดูกลมกลืนกัน
ต่อมาเป็น โต๊ะกินข้าว ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Living กับ Kitchen ซึ่งไปคนละโย้ดมากค่ะ ดำ-ทอง กับ ขาว-ฟ้า นางเลยใช้โซน Dining นี้แหละ มาช่วย Blend Living กับ Dining ให้กลมกลืนกัน โดยการเลือกโทนสีและสไตล์ให้กลมกลืนกลับทั้งสองฝั่ง ในรูปจะเห็นว่า เก้าอี้ ขาว-ฟ้า เข้ากันกับ Living แต่โต๊ะกินข้าว ดำทอง รวมถึงจานที่เป็นขอบทองเข้ากันกับ Kitchen
เอาไปอีก 1 ตัวอย่าง ห้องตัวอย่าง The Line Padipat

ดู Living ก่อนนะ อันนี้ง่ายมากชิมิ ไม่ต้องอธิบายเยอะ น้ำเงิน พรม-กับหมอนอิง เทา พรม-ผนัง เบาะครีมๆ Blend ไม้ (เดียวดูตรงนั่งกินข้าวกับทีวีจะเข้าใจ)-พื้นเข้าด้วยกัน


Step 6 - ค่อยๆซื้อ
อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ คือใจร้อนมาก อยากให้ห้องสวยไวๆ ซื้อนั้นซื้อนี้ซื้อนู้นสุดริด มีบัตรเครดิตก็รูดๆไปก่อน ไม่ต้องคิด สุดท้าย ว้ายยยยยยยยยยย ทำไมหนี้บานขนาดนี้ ผ่อนไม่ไหวละคะ แถมของบางอย่างซื้อมา อ้าว ไม่มีที่จะลง ลงมาละแน่น ดูห้องแคบไปอีก ละคอนโดสมัยนี้ก็ห้องเล็กจิ๋วนึงบางทีอยู่ๆไป อยากเปลี่ยน Layout ใหม่สะงั้น หรือที่เจอบ่อยสุดคือ นึกว่ามันจะเข้ากัน ปรากฏอ้าว ไม่เข้าอะ ดูเกินๆ ต้องเอาออก เป็นต้น ฉะนั้น ลองเอามาวางทีละชิ้นๆ แล้วจะเริ่มเห็นว่ามันขาดอะไรไหม ควรเอาไรมาเพิ่ม เป็นต้น
Step 7 - อย่าลืมพระเอก นางเอก
เหมือนหนัง เหมือนละครอะคะ มันก็ต้องมีเด่น มีพระเอก นางเอก ไม่งั้นมันก็จะ plain มากกกกกกกไป ดูแล้วเฉยๆ แล้วพระเอกเนี้ย ควรจะต้องดูดีมีชาติตระกูล เพราะมันจะช่วยดึงราคาของทุกอย่างให้ห้องให้ดูแพง ยกตัวอย่างนะ สมมติเธอเจอผู้หญิง แต่งตัวบ้านมากค่ะ ขาสั้น รองเท้าแตะ เสื้อยืดกอม ดูไม่ออกหลอกของจริงของปลอม ถ้ามาแค่นี้เธอคงแบบ ว้าย เสื้อกอมปลอมแน่ๆ สักพักนางเดินไปเปิดรถ Benz SLK หยิบเบอร์กิ้น ลงมาจ่ายค่าส้มตำหน้าปากซอย เธอจะเปลี่ยนความคิดทันทีค่ะ ดีออกกกก รวยมากค่ะ เสื้อกอมจริงๆแน่ค่ะ เผลอๆขาสั้นรองเท้าแตะอาจจะของ brand ดังราคาหลายพันด้วยซ้ำ (แต่จริงๆเจ้คนนั้นอาจจะซื้อขาสั้น Lotus รองเท้าแตะ 7-11 ก็ได้นะ)
เหมือนกันค่ะ ของในห้องไม่ต้องทุ่มเท ประเคนของแพงทั้งหมดค่ะ เอาแค่ไม่กี่ชิ้นพอ เอาที่เด่นๆ เห็นชัดๆ เป็นพระเอกนางเอกให้กับห้อง เช่นสมมติ ห้องสีออกดำๆหมดเลย อาจจะหาโตะกาแฟสีทอง 1 ตัว กับโคมไฟราคาไม่แพงแต่ดูแพงจาก ikea 1 อัน พอละ พอมีของชินนึงที่ดูแพง ของชิ้นอื่นๆมันจะดูแพงตามรัศมีไปด้วยค่ะ (ของที่ดูแพงแต่ไม่แพง แนะนำ ZARA HOME เวลา SALE ค่ะ หรือถ้าไปต่างประเทศแนะนำ H&M HOME)
Step 8 - เล่นเกมส์ทายราคา
เวลาไปซื้อของอยากให้ฝึก skill อย่างนึงคือ เกมส์ทายราคาของค่ะ เพราะอะไรอะหรอ มันเป็น skill ที่ดีมากอย่างนึง ในการเลือกของให้ดูแพง เหมือนคนอะคะเวลาแต่งตัว ถ้าแต่งไม่เป็นนะ ซื้อเสื้อตัวละ 10,000 แต่ใส่ออกมาแล้วเหมือน 199 ก็มี ส่วนคนแต่งตัวดี ใส่ตัวละ 399 ดูเหมือน 3,990 ก็มีค่ะ ฉะนั้น skill การเลือกของที่ดูแพงสำคัญมากกกก เพราะถ้าคุณแต่งห้องออกมาดูแพง มันก็เป็นผลดีเวลาผู้เช่ามาดูห้อง เค้าจะรู้สึกว่าห้องนี้ดูคุ้มเนอะ เป็นต้น
วิธีการง่ายๆคือ อย่าเพิ่งหยิบป้ายราคามาดูค่ะ เห็นของแล้วลองเดาราคาเองในใจก่อน ว่าของชิ้นนี้น่าจะราคาเท่าไร บางทีของชิ้นเดียวกัน แต่ละคนสี ราคาก็ต่างกันละ เช่น หน้าบานตู้สีขาวด้าน ดู cheap มาก / High Gloss ขาว ดูแพงขึ้นมาหน่อยนึง / ลายไม้ ก็ดูไม่ค่อยแพงนะ เผลอๆดู cheap กว่า high gloss ขาวถ้าเลือกสีไม่ดี / high gloss ดำ ดูแพงสุด แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา อาจจะราคาเท่ากันหมดก็ได้นะ
ฉะนั้น ก่อนจะเปิดดูราคาลองหยุดคิด ทายราคาในใจของของแต่ละสี แต่ละชิ้น ว่าสำหรับคุณชิ้นไหนดูแพง แล้วค่อยดูราคาค่ะ
Step 9 - Prop โค ตะ ระ สำคัญค่ะ
บางคนมองว่าไร้สาระ เกะกะ ไม่จำเป็น จะบอกว่าคิดผิดมาก เพราะ prop นี้แหละที่ impact ความสวยของห้องมากที่สุด แถมราคาก็ถูกสุดๆ กลับไปเข้าเรื่องกฏของโทนสีค่ะ พยายามเลือก prop ที่มีโทนสีที่กำหนดไว้ อย่าเอาของแพง เน้นสีและหน้าตาที่ดูแพงเป็นหลัก ดอกไม้ปลอมก็ช่วยให้ห้องดูมีชีวิตชีวาได้ดี เปิดมาเห็นแล้วรู้สึก positive (ถ้ามันไม่ดีจริง พี่แสนจะยัดลงไปในห้องตัวอย่างทุกโครงการหรอกค่ะ) มันเป็นเรื่องของจิตวิทยานะ เจ้หนูดีเคยบอกว่าสมองคนเราถูกตั้ง program มาให้ชอบต้นไม้ ดอกไม้ เพราะสมัยก่อนเราเป็นคนป่ามั้ง 555 ฉะนั้นเวลาเราเห็นแล้วจะรู้สึก positive (ไม่รู้มีใครเกลียดต้นไม้ ดอกไม้ ไหม อิอิอิ)
แล้วก็ของพี่แสนเค้าใช้เรื่องของประสาทสัมผัส สังเกตุว่าเวลาไปห้องตัวอย่างพี่แสนนี้มาครบค่ะ ห้องสวย กลิ่นหอม มีเพลงเปิดคลอเบาๆ มีชาอร่อยๆ อุณหภูมิกำลังสบายๆ ไม่หนาวไป ไม่ร้อนไป (ใครจะลองเอาเทคนิคไปใช้ก้ได้นะ เวลาใครมาดูห้อง ได้ผลยังไงมาเม้าด้วย)

รูปตัวอย่างจาก The Line Padipat
Step 10 - Story Telling (Advance)
อันสุดท้ายเป็นเทคนิคขั้น advance ที่อาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนจะปล่อยเช่า แต่ถ้าจะทำก็จะดูเกร๋เวอร์ๆ คือการบอกเล่าเรื่องราวผ่านการแต่งห้อง นอกจากจะคุ้ม Style และโทนสีแล้ว ความ advance เข้าอีกขั้นคือ การบอกเล่าเรื่องราว ผ่านสิ่งต่างๆในห้องออกมาได้ ประดุจเหมือนว่าในนั้นมีคนใช้ชีวิตอยู่จริง เห็นห้องแล้วบอกได้ว่า คนนั้นๆทำงานอะไร ชอบอะไร
ถ้าจะเอามาประยุกต์ในราคาไม่แพง ก็เช่น การใช้รูปภาพและของตกแต่งเป็นตัวเล่าเรื่อง เช่น อยากทำเรื่องของราวของนักถ่ายภาพ ก็อาจจะซื้อกรอบรูปถูกๆมาจาก ikea ติดกระจายๆอยู่ตามกำแพงว่างๆตามห้อง ไปหารูปถ่ายสวยๆ ที่เป็นเนื้อหาเดียวกัน เช่น ภาพถ่าย landscape สวยๆ ก็เอาให้ไปทางเดียวกันทั้งห้อง หรือภาพถ่ายงานสถาปตยกรรมสวยๆ ก็เอาไปให้ทางเดียวกันทั้งห้อง เป็นต้น แล้วก็ไปซื้อโหลแก้ว ikea ถูกมาก ไม่กี่ร้อยบาท ไปหาซากกล้องเก่าๆที่พังแล้ว หาที่ไม่แพง มาวางในโหล เอาไปวางบนชั้นวางของเป็นของตกแต่ง หาหนังสือมือสอง หรือหนังสือ sale ที่เกี่ยวกับกล้องมาวางตอแหลๆ จบละคะ
สุดท้าย อย่าลืมตั้ง Budget ในการแต่งละครั้ง บางทีก็ลงทุนนิดนึง ไม่ใช่ 29,000 บาททั้งห้อง ก็เกินไปนะ อยากได้เยอะๆก็ต้องลงทุนบ้าง แต่ลงทุนอย่างฉลาด ก็ไม่ต้องจ่ายแพงก็ได้ แต่ก็ดูว่าอย่าให้เกิน budget ที่ตั้งไว้ แต่ก็ต้องดูกลุ่มลูกค้าด้วยคะ ไม่ใช้ปลอยเช่าเดือนละ 5,000 แต่แต่งสะอลัง ก็ไม่คุ้มนะ หรือแบบคอนโดห้องละ 20 ล้านแต่ง 29,000 บาท แต่จะเอาค่าเช่า 5-7 หมื่นงี้ ก็เกินป้ายยยยยยยยยยยยย
สุดท้ายขอให้โชคดีมีคนเช่าราคาดีๆจ้า มีอะไรก็มาปรึกษาได้ ยินดีตอบฟรี ไว้ถ้าเจอของแต่งบ้านหรือเฟอร์สวยๆจะถ่ายมาฝากนะจะ
コメント