top of page

เริ่มจากศูนย์ สู่ธุรกิจหมื่นล้าน แง่คิดดีๆจากคุณกอล์ฟ ALL INSPIRE

  • Sukrit Udom
  • Feb 13, 2018
  • 2 min read

เม้ามอย

ความจริงคือเจ้ไปดูหมอดูมาค่ะ นางก็บอกว่าฉันต้องทำอะไรของตัวเองก่อนอายุ 35 ไม่งั้นหมดสิทธิรวยแน่นอน (เจ้ก็คิดในใจ “ไม่ต้องถึงขนาดรวยหรอกคะคุณพี่ หนูขอปิดหนี้บัตรเครดิตได้ก่อนเถอะค่ะ เบื่อชีวิตมนุษย์เงิน(ต้น)เดือนเหลือเกิน T-T”) ด้วยความที่เจ้เป็นคนมีเหตุมีผล หมอดูบอกอะไรก็ต้องเชื่อชิมิค่ะ 555 เลยลอง Google หาอ่านประวัติคนที่เค้าประสบความสำเร็จว่าชีวิตพวกนางพลิกผลันยังไงกัน เผื่อจะมีอะไรเริศๆ ให้ฉันเลียนแบบได้บ้าง แต่พอเปิดมาอ่านแล้ว สิ่งที่เจอคือ…

“เป็นธุรกิจที่สานต่อมาจากคุณพ่อครับ…”

“ตอนนั้นที่บ้านเป็นหนี้ร้อยล้านเลย…” (คือ Bank ปล่อยกู้ร้อยล้านได้ แปลว่าต้องมีทรัพย์สินกี่พันล้านค้า)

“ผมต่อยมวยแลกข้าวกินเลย แล้วผมก็เลยไปเรียนที่ Harvard…” (แหมมม… มีความสมเหตุสมผลฝุดๆ)

ปิดคอม นอนค่ะ

นอนๆอยู่ก็นึกได้ว่า เอ๊ะ! ฉันเคยไปฟังคุณกอล์ฟ (CEO All Inspire) พูดตอนงานเปิดตัวโครงการ The Excel ตอนนั้นนางบอกว่าเด็กๆนางจนมากนิ ลองไปถามสืบดีกว่า

วันรุ่งขึ้น พิมพ์ติดต่อ Marketing บริษัทนางไปค่ะ

เจ้ : “เธอๆ คุณกอล์ฟนี้แต่ก่อนจนจริงปะ หรือแบบจนสร้างภาพงะ เธอนึกออกชิมิ เวลาอ่านพวกบทความ และชอบเจอแบบสร้างภาพว่าตัวเองลำบากไรงี้”

การตลาดนาง : “จนจริงๆเจ้ เจ้ต้องมาฟังชีวิตนาง แซ่บมากกก น้ำตาจิไหล”

เจ้ : “อิอิ งั้นเราขอไปสัมภาษณ์มาลงเพจได้ป่าวงะ ฟรีนะ ไม่คิดตังค์”

การตลาดนาง : “ได้เลยๆ เดี๋ยวเรานัดให้นะ”

เข้าเรื่อง

มาดูชีวิตคุณกอล์ฟกันบ้างว่าคนที่เริ่มจากศูนย์จนมาเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายหมื่นล้าน จะมีแนวคิดอะไรดีๆมาแชร์กันบ้าง

"ผมเริ่มจากเด็กบ้านนอก ขึ้นรถเมล์ ล้างจานส่งตัวเองเรียน ตอนเด็กๆผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเก็บไข่เป็ดไปต้มหรือทำหวานเย็นไปขายที่โรงเรียน เลิกเรียนก็รีบกลับบ้านมาปลูกผักขาย ผมชอบขายของตั้งแต่เด็ก แต่ไม่นานคุณพ่อผมก็เสีย ทำให้ที่บ้านต้องขายทุกอย่าง ขายวัว ขายควาย ขายบ้าน แล้วผมก็ไม่ได้เรียนหนังสือเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่ง ผมก็ได้แต่ร้องไห้ดูคนอื่นขึ้นรถสองแถวไปเรียนกัน ตอนนั้นวิชาเดียวที่ผมมีคือการทำขนมจีนขาย คุณเคยดูรายการฝันที่เป็นจริงไหม ที่มีรถเข็นขายของอะ ตอนนั้นผมอยากได้มาก เพราะจะได้เอาไว้ช่วยแม่ขายของ ตอนนั้นผมต้องทำเส้นขนมจีนเองตั้งแต่เอาแป้งมาแช่ 2 อาทิตย์ แล้วก็เอามาตำ แล้วเอามาบีบน้ำร้อน (ประมาณ 28 ปีที่แล้ว) ผมก็ได้แต่ทำงานเพื่อที่จะหาเงินเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปเรียน ตอนมากรุงเทพฯก็นอนมากับพื้นรถเนี่ยแหละ แล้วก็มาขออาศัยอยู่กับญาติในชุมชนแออัด พอเข้ามาแล้วผมก็ตระเวนหาสมัครงานเพื่อที่จะได้มีเงินไปเรียน ก็มาเดินวนแถวๆ World Trade แต่ก็หางานไม่ได้ ไปสมัครเป็นยามเค้าก็ไม่รับ สุดท้ายผมมาได้งานเป็นคนล้างจานที่โรงแรมแห่งนึงตรงประตูน้ำนี่แหละ (เจ้ขอไม่ใส่ชื่อองค์กรนะจ๊ะ) เพราะว่าจะได้มีข้าวกินฟรี เพราะทำงานโรงแรมเค้าจะเลี้ยงข้าวตอนเที่ยง จริงๆผมเข้างานบ่าย 3 แต่พอ 11 โมงผมไปทำงานละ จะได้ไปกินข้าว แล้วก็ไปช่วยงานในครัว เพราะผมอยากเรียนรู้ คือเราต้องทำยังไงให้เรามีความรู้มากที่สุด เพราะถ้าได้เป็น Chef จะได้เงินเดือนเยอะกว่านี้ เราขยันจนเค้าก็เอ็นดู ผัดข้าวให้เรากิน จากนั้นเราก็ได้เป็นเด็กเสริฟ ตอนนั้นได้เงินเดือน 2,800 ได้มาก็ส่งให้แม่ จากนั้นผมก็ได้ย้ายมาเป็นเด็กเสริฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งตรงสีลม ก็ทำมาจนได้เป็นกัปตัน อยู่กะกลางคืนพอทำงานเสร็จก็แอบนอนอยู่ในนั้นแหละเพราะว่าต้องเรียนหนังสือ ต้องแอบหลบเค้านอนเอา จากนั้นก็ได้ย้ายไปทำที่ห้องอาหารอิตาเลียนที่โรงแรมแห่งนึง แล้วก็ได้ย้ายไปทำที่องค์กรนึงที่เป็นร้านกาแฟชื่อดัง ซึ่งตอนนั้นเป็นทีมแรกเลย ผมได้ไป Train ที่ซีแอทเทิล แล้วก็กลับมาทำงาน ตอนนั้นผมถึงจะเริ่มมีสมุดบัญชีเล่มแรก ทุกวันนี้ผมยังเก็บไว้อยู่เลยเนี่ย ผมอยู่ที่องค์กรนี้มา 8 ปี แต่ด้วยความที่เราเป็นนักอ่าน คือตอนนั้นผมคิดแต่ว่าต้องรวย หนังสือชีวประวัติจะเจ้าไหนผมอ่านหมด Rich Dad Poor Dad มีกี่ซีรีย์ผมอ่านหมด ตอนนั้นคิดแต่ว่าผมต้องรวยให้ได้ แม่จะได้สบาย ทีนี้ผมก็เริ่มเลือกงานละ คือเลือกที่เจ้านาย ผมจะดูว่าเจ้านายเป็นใคร เพราะผมอยากเรียนรู้สมองจากเค้า ว่าเค้าเก่งได้ยังไง อย่างตอนสมัยผมทำโรงแรมเนี่ยเค้าจะมีฝรั่งมาสอนภาษา พอเลิกเรียนเนี่ยผมพาไปเลยพัฒพงษ์เนี่ย เพื่อที่เราจะได้ฝึกพูด ฝึกภาษา ผมก็เลยได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากตรงนั้น ก็เลยทำให้ได้ทำงานในองค์กรใหญ่ๆ และได้ทำงานกับคนเก่งๆ (เจ้ขอไม่พูดถึงชื่อเจ้านายและบริษัทนะคะ) ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ วิธีคิด กลยุทธ์ จากคนเก่งๆ เยอะมาก หน้าที่การงานก็เริ่มดีมาก ผมก็เริ่มลงทุนในอสังหาฯ แล้วละ แต่ผมพยายามคิดให้ไม่เหมือนคนอื่น และด้วยความที่ผมโชคดี ได้อยู่กับฝรั่งเยอะ ทำให้ผมเข้าใจพฤติกรรมพวกเค้าว่าฝรั่งเค้าจะหาบ้านใกล้โรงเรียนลูก เค้าจะไม่เหมือนคนไทยนะ คนไทยจะหาบ้านใกล้ที่ทำงานตัวเอง แต่ฝรั่งเนี่ยเค้าจะเอาลูกเป็น Base เพราะเค้ามีคนขับรถ ลูกเค้าจะได้ขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ แล้วสมัยก่อนเนี่ยคนซื้อบ้าน 5-7 ล้านเนี่ย ซื้อเพื่ออยู่ทั้งนั้น ถ้าจะปล่อยเช่าก็คือจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่แต่ยังไม่อยากขาย มันก็เลยทำให้ Supply ตอนนั้นไม่เยอะ แล้วโรงเรียนนานาชาติตอนนั้นมีน้อยมาก ผมเลยไปหาโครงการที่ขายไม่ค่อยดี ตรงรามคำแหง 160 ตรงนั้นจะเป็น Community ที่มีแต่คนต่างชาติ แถมเรื่องตกแต่งบ้านเนี่ย ผมรู้เทสของฝรั่งดีเพราะผมอยู่กับฝรั่งมาตลอด ทำให้ผม Success เพราะเข้าใจลูกค้าดี ตอนนั้นการเงินมันก็เริ่มดี ผมก็เริ่มลงทุนในอสังหาฯ สมัยที่ Prakard ดังมาก แต่พอลงทุนไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มมีขาดทุนบ้างละ ผมก็เลยเปลี่ยนตัวเองมาเป็น Developer เอง ตอนนั้นผมก็ยังไปเปิดโรงงานด้วยนะที่ชลบุรี ทำ Line การผลิต ผมมีเพื่อนทำโรงงาน ผมรู้ว่ามัน Trade ได้ เราก็จ้างมืออาชีพมาทำงาน เมื่อธุรกิจ Success แล้วมันช่วยเรื่องเครดิตผมได้ ตอนนั้นผมต้องวาง Step เลยว่าผมต้องสร้างเครดิตเพื่อที่จะมาทำอสังหาฯ ผมก็ทำอยู่ 3 ปี ตอนนั้นผมเหนื่อยมาก เลิกงาน 6 โมงก็ต้องขับรถไปชลบุรี ไปดูเสาร์-อาทิตย์ ก็ได้เงิน ได้เครดิต มากู้ทำอสังหาฯนี้แหละ ผมโชคดีที่ผมไม่รู้อะไรมาก่อน ถ้าเรารู้มาก เราก็จะไม่กล้าทำ คือเราต้องเจ็บจริง เราถึงเข้าใจ เราต้องมีประสบการณ์จริง อย่างที่ผมทั้งซื้ออยู่เอง ปล่อยเช่า ขายต่อ ทำให้โครงการแรกของผมไม่ Fail เพราะเราเห็นจุดบอด เราเห็นเชิงลึกมาก่อน คือเราจะไปตามใจผู้ออกแบบทั้งหมดไม่ได้หรอก เราต้อง Balance เราต้องมองแล้วว่าเราจะขายใครอะ สักพักผมก็จะรู้ละว่าจับกลุ่ม Mass แต่ต้องเป็น Mass แบบ Premium โดย Offer Feature และ Technology ใหม่ๆ"

เจ้ทำสรุปข้อคิดดีๆมาให้นะคะ (บางอันเป็นเสริมมาให้จากเรื่องที่ไม่สามารถพิมพ์เล่ามาได้ 555)

  1. ต้องพุ่งเข้าหาโอกาสค่ะ อย่านั่งรอให้คนมายื่นให้ หรือถ้าบังเอิญโชคดีมีคนยื่นให้ ก็มัวแต่นั่งสวยเล่นตัวกระมิดกระเมี้ยนเป็นนางเอกช่อง 3 เหมือนที่ Sheryl Sandberg (COO ของ Facebook) เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณเป็นผู้ได้รับที่นั่งบนจรวดอวกาศ อย่ามัวถามว่า ได้ที่นั่งตรงไหน รีบไปขึ้นจรวดเลย”

  2. ห้าม Ego ต้องรู้จักหาความรู้เพิ่ม โดยเฉพาะเรียนรู้วิธีคิดของคนเก่งๆ ซึ่งมีหลายวิธีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การพูดคุยกับคนเก่ง หรือการเข้าไปอยู่ในสังคมของคนเก่ง เพื่อซึมซับวิธีคิดของพวกนาง

  3. เธอต้องเข้าใจลูกค้าจริงๆ อย่างคุณกอล์ฟที่เข้าใจชีวิตจริงๆ จึงทำสินค้าออกมาได้ตอบโจทย์ลูกค้า

  4. ต้องรู้จักวางเป้าหมาย (Goal) แล้ววาง Process ในแต่ละ Step เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เหมือนที่นางยอมเหนื่อยไปเปิดโรงงานที่ชลบุรี เพื่อให้สามารถมากู้ลงทุนในอสังหาฯได้ (หรือเหมือน Elon Musk แห่ง Tesla และ SpaceX เลย ที่ทำ Solar Cell, EV Car เพื่อจะได้สามารถผลิต Battery ได้ใน scale ใหญ่ ทำให้ต้นทุนต่ำ เพื่อจะได้มาทำ SpaceX และเป็นเจ้าพ่อธุรกิจดาวเทียมในอนาคต เจ้ก็อ่านเค้ามาอีกทีนะ 555)

  5. อย่ามัวแต่กลัว ต้องทำไปเลย ธุรกิจคือการแก้ปัญหา เราต้องเข้าไปเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา เพราะปัญหามีมาตลอดแหละ (เหมือน Robert T. Kiyosaki บอกไว้ในหนังสือ “Increase Your Financial IQ” ว่า ถ้าคุณแก้ปัญหาได้ นั้นจะทำให้คุณฉลาดขึ้น แล้วเงินก็จะไหลเข้ามา (อะไรประมาณนี้แหละ เจ้ก็ลืมละ 555))

  6. ต้องรู้จักลืมและให้อภัย เพื่อที่เราจะได้ก้าวต่อไปได้ (อย่ามัวแต่กลัวนะจ๊ะ)

  7. เรื่องไหนที่มันจะมาบั่นทอนจิตใจเรา เราต้องตัดมันทิ้งไป เพื่อที่เราจะ Focus และไม่เสียโอกาสดีๆที่เข้ามา

  8. เราไม่มีทางได้ตลอด ยังไงก็ต้องมีเสียบ้าง แต่บางครั้งเราก็ได้อย่างอื่นมาแทน อย่างเช่น Friendship

แอร๊ยยย บทความนี้แลดูมีสาระมะคะ ถ้าชอบยังไงก็กด like กด share กันได้นะจ๊ะ จะได้เป็นกำลังใจให้เจ้ กราบบบ


 
 
 

Comentarios


bottom of page