THE LINE ราชเทวี - ขายของ Luxury ต้องมีดีกว่าแค่หินอ่อน
- Sukrit Udom
- May 12, 2018
- 5 min read

เรียกเสียงฮือฮาได้ตลอดเวลาแสนสิริจะขยับตัวซ้ายที-ขวาที ก็แน่นอนค่ะว่าความสวยระดับตัวแม่วงการแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะได้มาเพราะโชคช่วยหรือเป็นเด็กเส้นแต่อย่างใด แต่มาด้วยฝีมือของพี่แสนเองล้วนๆ ที่สั่งสมประสบการณ์ ลองผิดลองถูก เรียนรู้จากเหตุการณ์ต่างๆจน Strong จนชนะทุกแคมเปญ เห็นแบบนี้แฟนคลับอย่างเจ้ก็ดีใจค่ะ
นี้เพิ่งจะแค่ปล่อยรูปภาพเรียกน้ำย่อยไป ดูเหมือนแฟนคลับพี่แสนจะกรี๊ดกร๊าดชื่นชอบกับผลงานตัวล่าสุดที่เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์ไปอย่าง THE LINE ราชเทวี ซึ่งมีดีกรีความแซ่บแบบไม่ธรรมดา เพราะแค่พูดว่า เดินสวยๆ 700 เมตรถึง SIAM PARAGON ก็สะเทือนไปถึงกระเป๋าสตางค์แล้ว (โชคดีนะ เจ้วงเงินเต็มเสมอมา 555 ถึงไม่เต็มก็ไม่มีปัญญาโอนไหม T-T) อย่าลืมว่าที่พารากรมี Sansiri Lounge ด้วยนะคะ ลูกบ้านแสนไปนั่งจิบชาสวยๆเกร๋ๆได้ทุกวันเลย
แต่ก่อนจะเจ้จะพาชมรายละเอียดต่างๆของโครงการ จะเข้าเม้ามอยถึง ความทรงพลังของคำว่า 'แสนสิริ' กันก่อนค่ะ
ทำไมต้อง 'แสนสิริ' ?
จะหาว่าเจ้อวย ก็ไม่ว่ากันค่ะ เพราะตัวเลขมันอวยใครไม่ได้ ฉะนั้นเจ้จะหยิบเอาตัวเลขมาคุยกันใน session นี้ โดยเจ้จะขอหยิบคอนโด High Rise ของพี่แสน ในทำเลสุด Prime มาสัก 5 ตัว ซึ่งก็จะมีทำเล ราชเทวี / อารีย์ / พร้อมพงษ์ / ทองหล่อ เธอจะเห็นว่าราคาต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี ตัวที่ต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 5.01%* ซึ่งก็ถือว่า OK เลยน่ะ เพราะนี้ยังไม่รวมรายได้จากค่าเช่าอีก ส่วนตัวที่สูงที่สุดก็อยู่ที่ประมาณ 15.53%* ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ OMG! ตอนนั้นน่าจะขายบ้าน ขายรถ ขายตัว (จะออกรึ?) ไปหาซื้อมาไว้สักห้อง T-T

*เป็นราคาที่ดูมาจาก 3 websites แล้วนำมาเฉลี่ยกันนะคะ
แต่แน่นอนแหละว่า Growth Rate (การเติบโตของราคา) มันไม่ได้แบบนี้ทุกทำเลหรอกน่ะ เธอก็ต้องเลือกทำเลที่มันมีศักยภาพด้วย อย่างทำเลราชเทวีก็ต้องเป็นทำเลที่ดีมีศักยภาพสูง แต่เดี๋ยวเราจะเม้าเรื่องนี้กันที่หลังค่ะ session นี้เจ้ของเม้าต่อก่อนว่า พี่แสน แกมีดียังไง ลีลาเด็ดแค่ไหน ทำไมคำว่า 'แสนสิริ' ถึงมีผลต่อการเติบโตของราคาได้
Branding
ถ้าใครตามข่าวอสังหาฯมาตั้งแต่สมัย 5-6 ปีก่อน จะจำได้ว่าพี่แสนเคยมีข่าวว่าใช้งบทำ Branding ไปประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี คือแบบ เห้ย! มันต้องมากมายขนาดนั้นเลยหรอ แต่พอวันนี้เจ้ถึงเข้าใจว่าการทำ Branding มันสำคัญมาก มันเกิดเป็น Perception ในหัวของคนที่ต้องการมองหาคอนโด คอนโดแสนคือของดี เชื่อป่ะ? เจ้ยังเคยได้ยินเรื่องตลกที่เค้าเม้ากันในกลุ่มคนชอบคอนโดว่า มีสองสาวนั่ง BTS แล้วกำลังเม้าส์กัน แล้วมีนางนึงถามเพื่อนว่า "แกๆ คอนโดนี้ดีป่ะ?" (ไม่ใช่คอนโดของแสน) เพื่อนสาวอีกนางหันมา "อ้ออออ แก ของแสนสิริไง ดีแก ซื้อเลย"
อ้าว! สะงั้น!
จะเห็นได้ว่า แสนสิริได้ฝังข้อมูลลงไปในหัวคนกรุงเทพฯแล้วว่า คอนโดแสนสิริ = ดี = หรู = สวย = เริศค้าาา รูดเลย เห้ย! ไม่ช่าย
แต่การแค่ทำ Branding อย่างเดียวก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดหรอกค่ะ Product นางก็ต้องดีจริงๆด้วย ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าคอนโดของแสนมีดราม่าอยู่แค่ไม่กี่ที่เมือเทียบกับปริมาณคอนโดที่นางสร้างมาทั้งหมด (เทียบเป็น Percentage แล้วถือว่าน้อยมาก) ละคอนโดที่เคยมีดราม่า ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว แถมราคาก็ขึ้นเอาๆ ปล่อยเช่าดี resale เริศสะงั้น มันก็เลยยิ่งเป็นการบอกต่อในวงผู้บริโภคถึงความน่าเชื่อถือของ Brand แสนสิริ
อีกทั้งอย่าลิมว่า คนยุคใหม่ (ยุคเจ้ก็ยังใหม่นะ 555) เลือกซื้อของด้วยเหตุผลทางจิตใจมากขึ้น เลือกซื้อของที่บ่งบอกตัวตน บ่งบอกรสนิยม บ่งบอกเอกลักษณ์ของเจ้าของ ซึ่งจุดนี้เองที่ Developer 2 เจ้าใหญ่ทุ่มทุนในการเข้าไปยึดครอง Perception ในหัวของผู้บริโภคกันอย่างรุนแรงมาก และแสนสิริก็เป็นเบอร์ 1 ในนั้น
แล้ว Brand มีผลยังไงต่อราคางะ ?
ก็พอ Perception ของคนรับรู้ไปแล้วว่าคอนโดของแสนสิริเป็นคอนโดที่ดี อยู่แล้ว Proud (ก็ Proud จริงๆนะ ขนาดฉันอยู่ Park West ฉันยังมั่นเลยว่าคอนโดฉันสวย โฮะๆๆๆ แถมราคาก็ขึ้นดี้ดี resale ก็เริศ เช่าก็ง่าย รายวันก็เยอะ เอ้ย! ไม่ใช่ละ 555) เค้าก็กล้าที่จะเลือกซื้อคอนโดมือสองของแสนสิริ (จริงนะ ตึกเจ้นี้ เสาร์-อาทิตย์ agent พาลูกค้ามาดูห้อง resale กันให้ควัก ทั้งๆที่ราคาขึ้นมาสูงมากแล้ว)
ซึ่งย้อนกลับมาที่คำถาม Basic สุดๆ ว่าเวลาคนที่จะซื้อคอนโด เค้านึกถึงอะไร ? แน่นอนค่ะว่า มันก็จะมีเรื่อง 'เดินทางสะดวก' + 'คอนโดคุณภาพดี ปัญหาน้อย' + 'ความสวยงามและสภาพแวดล้อมดี' + 'ถ้าจะไม่อยู่แล้ว ปล่อยเช่าง่าย ขายได้กำไร' ซึ่งคอนโดของพี่แสนก็ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด
มันก็เลยทำให้คอนโดของพี่แสนมี Demand ราคามันก็เลยขึ้น ทำให้คอนโดของแสนขายต่อได้ราคาดีเพราะไม่ต้องมาลดราคาแข่งกันเอง (ทั้งๆที่ระยะทางจาก BTS เรียกได้ว่าไกลเลยแหละ แต่ Park West ของเจ้คำนวณแล้วราคาขึ้นประมาณ 9.8% ต่อปีเลยนะจ๊ะ แอบภูมิใจค้าาา!)
แล้วอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของแสนสิริ ?
อันนี้แสนสิริไม่ได้บอกเจ้หรอกนะ แต่เจ้ใช้ประสบการณ์จากที่เห็นมาตลอด 7 ปี ทั้งเป็นเม่า ทั้งรับตรวจคอนโด ทั้งเป็น Blogger ทั้งเป็นนักเลง Keyboard อิอิอิ มันคือเรื่องของการสร้างงานศิลป์ยังไงละ ถ้าไม่เชื่องั้นตอบหน่อยว่าทำไม กะอีแค่ผืนผ้าใบกับสีที่ตะวัดไปมา ถึงได้มีราคาเป็นแสนเป็นล้านค่ะ?
แล้วงานศิลป์ของแสนสิริคืออะไร ?
เอาคำว่า 'งานศิลป์' ก่อนนะ มันคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยเกิดการกระบวนที่ต้องใช้ทักษะและความคิดเป็นสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อสาร สื่ออารมณ์ หรือเป็นการสร้างสัญลักษณ์
ก็เหมือนที่ผู้บริหารท่านนึงของแสนสิริเคยพูดว่า เราไม่ได้ขายอิฐขายปูนแต่เราขายคุณภาพชีวิต (นะจ๊ะ)
ซึ่งคำว่าคุณภาพชีวิตในแบบของแสนสิริ ยังรวมถึงการสร้างภาพชีวิตที่สวยงาม (เหมือนในหนังโฆษณาของนาง แต่นายแบบนางแบบในชีิวิตจริงอาจจะไม่ได้หน้าตาดีเท่า 555) ภาพของสวนที่ร่มรื่นที่มีพ่อแม่และเด็กน้อยออกมาวิ่งเล่นเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ภาพของสระว่ายน้ำที่มีแกงค์ชนีกำลังสนุกสุดเหวี่ยงเพราะเพื่อนคือคนที่เราเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด ภาพห้องพักที่มีลูกบ้านกำลังทำตามความฝันที่อยากจะเขียน กำลังนั่งแชร์เรื่องราวประสบการณ์ดีๆให้คนอื่นได้อ่านอยู่ริมหน้าต่าง เพราะมันคือบ้านที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นบ้านที่เค้ารัก (แอบมาม่า)
แสนสิริทำมันออกมาได้จริงๆค่ะ และมันก็เป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆเช่นกัน ซึ่งทั้งภาพชีวิตที่งดงามและงานสถาปัตกรรมที่โดดเด่นของแสนสิรินี้แหละ ที่เป็นเสน่ห์ให้ใครๆก็อยากมาเป็นลูกบ้านแสนด้วย แล้วก็มันวน Loop กลับไปที่เรื่องของ Demand, Supply นั้นแหละ ใครมาก็ชอบ ใครมาก็อยากอยู่ ถามหา Resale กันเพียบ ปล่อยเช่ากันให้ควัก พอ Demand มี ราคามันก็ขึ้นตามค่ะ (มีความย้ำ 555)
เราเลยจะเห็นเสมอว่า แสนสิริเป็นเจ้าแรกๆของวงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบมากกก เค้าเลือกใช้ Designer ดังๆมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นงาน Landscape งานออกแบบอาคาร งานออกแบบภายใน ห้องตัวอย่าง ไปจนถึงสื่อต่างๆ ทำให้เราได้เห็นคอนโดของแสนสิริหลายๆตัวที่สวยจนต้องร้องซี๊ดดดด ทำให้ Developer เจ้าอื่นต้องเริ่มหันมาทำตาม แต่พยายามฉีกแนวและฉีกกลุ่มลูกค้าออกไปให้มีความแตกต่างที่ชัดเจน (อันนี้เจ้ก็ชมเชยนะคะ เจ้ว่ามาถูกทางละ)
นอกจากนี้แสนสิริยังคงเป็นผู้นำตลาดมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องของการใช้หินอ่อนต่อลาย (Book Matched) การนำ Technology ใหม่ๆเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกบ้าน ซึ่งอันนี้คงต้องอวยกันตรงๆว่า พี่แสนแกนำคนอื่นอยู่หลายก้าวเสมอค่ะ
เอาละสาธยายมาสะยาว ละที่โม้มามันเกี่ยวกับ THE LINE ราชเทวี ยังไงค่ะเจ้ ?
เกี่ยวสิเธ้อออ! ก็นี้แหละ Concept การออกแบบและหลักการขายสินค้า Luxury เลยนะคะ
ถ้าจะขายสินค้า Luxury มันต้องมี Story Telling (มีเรื่องราว) มี Detail (มีรายละเอียด) และมีความ Art สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่จะทำให้สินค้ามีมูลค่าเหนือกาลเวลา เหมือนกระเป๋า Chanel Classic Flap Bag ที่ทั้งสวยและมูลค่าสูงขึ้น 70% ในเวลา 6 ปี

ทีนี้เรามาเที่ยวโครงการ THE LINE ราชเทวีกันบ้างค่ะ เจ้จะขออาสาเป็น Guide พาดูพร้อมบรรยายให้ฟังนะจ๊ะ
ความเริศที่ 1 ของโครงการที่อยากนำเสนอมากกก คือเรื่องที่พี่แสนแกป่าวประกาศปาวๆตอนเปิดตัวนั้นแหละว่า 'THE CENTER OF EVERYTHING' มันก็เลยจะมีความเดิน 700 เมตรถึงสยามพารากรอะนะ (สวยเวอร์ แถมไม่ต้องข้ามสะพานลอยด้วย) ซึ่งบอกเลยว่ามันเกร๋มากกก เหมาะกับสาวเมืองหลวงสุด Hiso ที่ออกมาทาน Brunch กับเพื่อนสาว อย่างมี Lifestlye ความ Luxury ของคนรุ่นใหม่แบบขีดสุด (แรดมะ 555)






แน่นอนค่ะว่าย่านราชเทวีก็ยังเป็นย่าน Lifestyle อีกแห่งสำหรับคนเมืองและวัยรุ่นเพราะเต็มไปด้วยร้านอาหารเกร๋ๆแบบมีสไตล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น co-co walk ที่อยู่ติด BTS ราชเทวี หรือ Sushi Masa ที่อยู่ด้านหลัง PYNE by SANSIRI







ก่อนจะกลายเป็นกระทู้พากิน กลับมาที่โครงการกันก่อนค่ะ 555 โครงการอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าแค่ 220 เมตรค่ะ ออก BTS ทางออกที่ 4 แล้วเดินมาทางถนนเพชรบุรีนิดเดียว โครงการมีจำนวนห้องชุดแค่ 231 ยูนิตเท่านั้นค่ะ ถือว่าน้อยและ Private ดีค่ะ
ที่บอกว่าทำเลนี้มีศักยภาพก็เพราะว่าทำเลนี้ยังมีพื้นที่ให้สามารถพัฒนาได้อีกค่อนข้างมากยาวไปตลอดเส้นเพชรบุรีเลยค่ะ ซึ่งถ้าใครติดตามข่าว ก็จะทราบว่ากำลังจะมีโครงการอีกมากมายขึ้นในบริเวณโดยรอบนี้ รวมถึง Mix Used และอาคารสำนักงานอีกถึง 2 โครงการตรงสี่แยกราชเทวี และสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะมา Interchange กับ BTS ที่สถานีนี้ด้วยค่ะ
ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าวันที่เจ้เข้ามารีวิวนั้น เค้ายังไม่เสร็จ 100% ค่ะ งานบางจุดอาจจะยังไม่เรียบร้อยดีนะคะ



จะเห็นได้ว่าภายนอกอาคารจะใช้เป็นหินแกรนิตและแผ่นอลูมิเนียมคอมโพสิทไล่สี ซึ่งถือได้ว่าลงทุนมากค่ะ โดยโทนสีจะเน้นไปที่โทน Copper เพราะเป็นตัวแทนของ New Luxury สำหรับคน Young Gen ค่ะ

สวนด้านหน้าโครงการกรุด้วยหินแกรนิตสีดำและม้านั่งหินอ่อน Fusion Red Marble นำเข้าจาก Brazil






ภายนอกอาคารและโถง Drop Off ก็กรุด้วยหิน Matrix Granite จาก Italy ทั้งหมดค่ะ

นี้ยังเป็นโครงการแรกของแสนสิริที่มี mechanical parking อีกด้วย
นอกจากนี้โครงการยังมีรถ BMW i3 ที่เป็นรถใช้ไฟฟ้า 100% มาไว้ให้บริการลูกบ้านด้วย โดยลูกบ้านสามารถ Book รถไว้และนำออกไปใช้ได้โดยคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง ซึ่งจริงๆแล้วเป็น Trend Sharing Economy นี้เป็นอะไรที่มหานครอย่าง New York City ใช้กันมาสักพักนึงแล้วค่ะ เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มเล็งเห็นแล้วว่าชีวิตใจกลางเมือง ไม่ได้มีความจำเป็นในการใช้รถมาก อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากตามมา ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ Smart เท่าไร การ Share แบบนี้ นอกจากจะ Smart แล้ว ก็ยังดูมี Style ด้วย ซึ่งทางแสนสิริก็เลือกรถมาได้เท่มากๆ ชอบค่ะ

โดยลูกบ้านสามารถนำบัตรมาแตะที่เครื่องอ่านซึ่งมีถึง 2 จุด คือบริเวณใกล้ๆที่จอด และตรงนิติ (ใกล้ทางออกด้านข้าง) เพื่อสั่งให้นำรถขึ้น-ลงค่ะ



โครงการค่อนข้างให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวที่จะมีสวนพักผ่อนตลอดตั้งแต่ชั้น G ,ชั้น 11, ชั้น 31 และ Rooftop ชั้น 38 ค่ะ

เป็นโครงการที่ยิ่งดึก ยิ่งสวย








เหมือนจะเป็น Signature ของ THE LINE สะแล้วกับมือจับหินอ่อน เห็นทุก THE LINE เลย

Lobby เป็นแบบเพดานสูง 4.2 เมตรนะคะ

และแน่นอนว่าจะต้องเป็น Signature ของแสนสิริ กับหินอ่อนจัดเต็มสุดพลัง แล้วพอยิ่งเป็นคอนโดเกรด Hi-end ก็จะยิ่งใช้หินอ่อนที่หายาก ซึ่งนั้นหมายถึงราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย เริ่มจากที่พื้นด้วยหินอ่อน Jaguar Pink และการตกแต่งผนังสุดอลังการด้วยหินอ่อน Staturio แผ่นใหญ่ต่อลายที่ราคาจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ อันนี้บอกตรงๆว่าไม่รู้ราคาที่แน่นอนนะคะ แต่เคยไปถามราคามาเมื่อ 5 ปีก่อน ว่าหินอ่อนต่อลายแบบนี้ราคาเท่าไร เจ้ขอบอกเลยว่าผนังที่เห็นเนี้ย ซื้อรถได้คันนึงงะ!

มาต่อกันที่ พระเอกของ Lobby ที่เป็น Chandelier ขนาดใหญ่มากจาก OCHRE เป็นแบรนด์ Furniture, Lighting และ Home Accessories จากอังกฤษที่มีมาตั้งแต่ปี 1996 สำหรับรุ่นที่นำมาใช้ที่ THE LINE ราชเทวีนี้เป็นรุ่น Seed Cloud โดยที่เป็นงานทำมือทั้งหมด ราคาก็เบาๆที่หาจากในเว็ปก็แค่ประมาณ 35,000 USD ไม่รวมค่าขนส่ง นำเข้า ภาษี รวมแล้วก็คงประมาณ 2 ล้านกว่าบาทเท่านั้นเอ้ง! (ต้องยอมรับเลยว่าพี่แสนเป็นเจ้าแรกๆ ที่กล้าเอางานศิลป์ราคาสูงมาลงในโครงการ สมัยนี้ Developer เจ้าใหญ่ๆบางเจ้ายังไม่กล้าทำตามเลย)


ของแพงอีกชิ้นที่จะไม่เม้าถึงไม่ได้ คือเก้าอี้ Lounge Chair รุ่น MT3 ของ Ron Arad ที่เจ้มีความอยากเผือกถึงขั้นต้องไปสืบ ส่งเมลล์ไปถามร้านที่ใกล้ที่สุดที่อยู่ที่สิงคโปรค์ เอาเป็นว่า 1 ตัวก็ราคาเกือบจะ 1 แสนบาทละคะ แถมราคานี้ยังไม่รวมค่าขนส่งและภาษีเข้าประเทศไทย และต้องรอของอีก 2 เดือนเพราะต้อง Ship มาจาก Milan อู้ววว ดีใจได้นั่งเป็นบุญก้น
ละก็รีวิวสไตล์เจ้ ต้องสาดรูปเข้าไปเยอะๆค่ะ ให้ดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด ประดุจไปดูเอง













สำหรับตู้จดหมายของที่นี่ ก็มีของเล่นใหม่มาให้เล่นกันอีกแล้วค่ะ คือเป็น Smart Mail Box ที่สามารถใช้การ์ดในการเปิดได้ค่ะ ไม่ต้องมานั่งไขกุญแจแล้ว สวยๆ

Smart Locker ก็มีมาด้วยเช่นกัน เหมาะสำหรับสาวนัก Shop Online เช่นเรา ที่ไม่ต้องรอถึงเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดเพื่อรอเจอหน้านิติในการรับพัสดุ เราสามารถ Check ได้ใน Home Service Application ได้ว่ามีพัสดุมาส่ง แล้วแจ้งนิติไปว่าให้นำพัสดุไปใส่ไว้ใน Smart Locker ให้ และจะส่งเป็น QR Code มาให้ เราก็แค่นำ QR Code ไป Scan ที่หน้าจอเพื่อเปิดตู้รับของ


ตรงหน้านิติมีเครื่อง Scan บัตรจอดรถแบบ RFID อีกเครื่อง เพื่อเลือกนำรถที่จอดแบบ mechanical parking ลงมา

ขนาดผนังทางเดินชั้น 1 บริเวณหน้าห้องนิติ และหน้าลิฟล์ยังเป็นหินอ่อนต่อลายเลยค้า


พื้นภายในลิฟล์

อันนี้ต้องแจ้งก่อนว่าเค้ายังทำไม่เสร็จนะคะ แต่เจ้เข้าใจว่านี้เป็นที่แรกเลยมีหน้าจอภายในลิฟล์ด้วย ซึ่งเจ้ค่อนข้างชอบมาก เพราะบอร์ดที่แปะกระดาษทั่วไปส่วนมากไม่ค่อยมีใครอ่าน พอเป็นจอแบบนี้ มันจะเหมือนโดนบังคับให้ต้องมองไปเอง 555 จะได้อ่านประกาศกันเยอะๆหน่อย

พอขึ้นมาบนชั้น 11 ที่เป็นชั้นส่วนกลาง ก็จะเจอความอลังการของผนังหินอ่อน Red Marble จาก Brazil ต่อลาย (Bookmatched) ที่ไม่ได้มีแค่ผนังเดียวนะคะ แต่แทบจะรอบบริเวณส่วนกลางทั้งหมดเลยค่ะ ซึ่งหินอ่อนตัวนี้ก็จะมีความเกร๋มากตรงที่ เค้าบอกว่าลายสินแร่ในหินเหมือนกับงาน Drawing ลายประแจจีน ซึ่งเป็นชื่อเดิมของถนนเพชรบุรี เป็นไงละ มีความมีที่มาที่ไป มีเรื่องราว Story Telling สุดฤทธิ์








อีกความอลังการที่ซ่อนอยู่คือพื้นรอบพื้นที่ส่วนกลาง เพราะมันคือหินอ่อน Grey Travertine ที่หนามากกก แต่ไม่ต้องกลัวว่าเป็นพื้นหินอ่อนแล้วจะลื่นนะคะ เพราะเค้าทำให้มันเป็นผิวด้านมาแล้ว (Anti-slip finished) อีกทั้งยังมีการทำร่องระหว่างหินแต่ละก้อนเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็วค่ะ

สระว่ายน้ำที่นี่ขนาด 22 x 5 เมตรค่ะ (ไม่รวมความยาวสระเด็กและ Jacuzzi นะคะ) วัสดุกรุพื้นและผนังสระก็เป็นโมเสกหินเช่นกัน นอกจากนี้พื้นสระยังมีการฝัง Fiber Obtic เพื่อให้มีการเล่นแสงไฟ เหมือนดาวดวงในยามค่ำคืน สวยงามมากๆค่ะ (เป็นแบบเดียวกับที่ The Monument เลยนะ)




ห้องฟิตเนสที่นี้ จะมีการเล่นไฟที่เปลี่ยนสีได้ และยังเชื่อมต่อออกไปถึงง Deck ข้างสระว่ายน้ำด้วย มีความเกร๋ขั้นสุด ส่วนอุปกรณ์ออกกำลังกายเป็นของ Techno Gym มีปริมาณพอเหมาะกับจำนวนห้องชุด และอุปกรณ์ค่อนข้างครบ เล่นได้ทุกส่วนค่ะ (เห็นฉันอ้วนๆแบบนี้ ก็เคยศึกษาเรื่องการเล่นเวทนะยะ แต่โดนโรคเลื่อนถามหา ไว้ก่อน พรุ่งนี้นะ เดี๋ยวค่อยไป ไม่ว่าง อิอิอิ)


ภายในห้องอาบน้ำหรือ Changing Room ก็จะมี Smart Locker เช่นกัน คือสามารถใช้ Access Card ของคอนโดที่เป็นบัตร Rabbit Card ในตัวด้วย ในการแตะเปิด-ปิดตู้ค่ะ (ถ้าเป็นสมัยก่อนจะให้ลงไปเบิกกุญแจที่นิติ ลำบากมาก) ระบบนี้ยังรวมถึง mail box ที่ Lobby ด้วยนะคะ ซึ่งก็สะดวกไปถึงตอนขึ้นรถไฟฟ้าอีก เพราะใช้บัตรแค่ใบเดียวเลย (เจ้ชอบหยิบผิด เอาบัตรคอนโดไปแตะ BTS ประจำ 555)











จริงๆตรงนี้จะต้องมีจุดขายอีกจุดนึง คือ Project และฉากรับภาพเหนือสระว่ายน้ำ แต่วันที่เจ้เค้าบอกว่าไม่สามารถเปิดได้ค่ะ อดดูเลย T-T




บนชั้น 11 ยังมีอีก 1 ความเกร๋คือห้องชุดที่มีความสูงเพดานถึง 3.35 เมตร อยากรู้ว่าสูงแค่ไหนก็ดูจากชุดครัวได้ค่ะ มันแกรนด์มากกก
ไปเที่ยวชั้น 31 กันต่อค่ะ



ห้อง Laundry ที่แสนสิริเค้าไป Partner กับ Trendy Wash ซึ่งมันจะสะดวกมากเพราะ ชีวิตจริงของชาวคอนโดแบบเจ้ ที่พอหน้าฝนมันจะตากผ้าไม่ค่อยแห้งชิมิ เจ้ก็จะเอาผ้าลงมาอบข้างล่างค่ะ ซึ่งสิ่งที่เจอในวันเสาร์-อาทิตย์คือ ทุกคนก็จะเอาลงมาพร้อมๆกัน คือลงมาทีไรเครื่องก็มีคนใช้งานอยู่ค่ะ แต่ด้วยระบบของ Trendy Wash เนี้ย เค้าจะมีบอกผ่าน Application เลยว่า Status ของแต่ละเครื่องเป็นยังไง พอซักหรืออบเสร็จนางก็จะแจ้งเตือน แถมไม่ต้องเสียเวลาหาเหรียญสิบมาหยอดด้วย เพราะนางมี e-wallet ให้ตัดเงินผ่าน App ได้ค่ะ สวยและสบายมาก

เจ้แอบชอบตรงนี้ มีมุมซักล้างให้ด้วยงะ (แต่ถ้าชอบที่สุดคือห้อง Laundry ที่ Wyne คือสวยและดีมาก มีโต๊ะหินตัวใหญ่ตรงกลางด้วย เริศ)
ต่อมาเป็น Library + Co-working Space ค่ะ


สำหรับห้องนี้นะคะ จะมีความเริศตรงเพดานสูงถึง 5.95 เมตร ทำให้สามารถชมวิวรอบๆโครงการที่สวยงามได้สวยสุดๆ อีกทั้งยังมีของเกร๋ๆ อย่าง Lounge Chair ที่ออกแบบโดย Alexander Wang Designer ระดับแถวหน้าของวงการ Fashion ในอเมริกา เคยได้รับรางวัล CFDA/Vogue Fashion Fund ในปี 2008 และรางวัล Swiss Textiles Award ในปี 2009 Alexander Wang เป็น Designer ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ Urban Design และได้รับตำแหน่ง Creative Director (ตำแหน่งสูงสุดของนักออกแบบ) ของ Balenciaga ตั้งแต่ปี 2012-2015 อีกด้วย
item เกร๋ๆที่ซ่อนอยู่เหล่านี้นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของแสนสิริ เหมือนเราได้เดินเข้าไปให้พิพิธภัณฑ์ให้เราตื่นเต้นกับการตามหางานศิลป์และศึกษาเพื่อเข้าใจในที่ไปที่มา และสิ่งที่ Designer ของโครงการต้องการจะสื่อความหมาย ซึ่งสำหรับเจ้ จะเห็นได้ว่าที่นี้คือการสื่อความหมายถึงความ Luxury ในแบบ Young Generation ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ชีวิตใน Location ที่เรียกได้ว่า ใจกลางเมืองสุดๆ ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความเกร๋ เท่ Fashionable แต่ก็ยังดู Smart น่าค้นหาไปในเวลาเดียวกัน เหมือนกับมหานคร New York City มหานครแห่งงานศิลป์และแฟชั่น ที่สามารถ access สู่ Fifth Avenue ที่เป็น Shopping Street ที่เต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้า Designer Brand ระดับ Hi-end ก็เหมือนกับโครงการ THE LINE ราชเทวีที่สามารถ access สู่สยามพารากรได้อย่างสะดวกเพื่อเชื่อมต่อสู่ราชประสงค์ Shopping Street


นอกจากนี้ยังมีที่นั่งที่มี Sound Dome สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนกับดนตรีโปรด โดยไม่รบกวนคนอื่นรอบข้างค่ะ

อีกจุดนึงที่เจ้ชอบมากคนจะเป็นเรื่องของวิว ที่สามารถ Take View ย่าน CBD และตึกที่เป็น Landmark สำคัญๆของกรุงเทพได้เกือบทั้งหมด สะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็น Real Urban Lifestyle ได้ดีสุดๆ





บันไดหินอ่อน Dark Emperio

ชั้น 2 จะเป็น Co-working Space และห้องประชุมค่ะ






ห้องประชุมทั้งสองห้องสามารถเปิดเชื่อมกันเป็นห้องใหญ่ได้ด้วยนะคะ

จะมีระบบห้องประชุมจองผ่าน Home Service Application ของ Sansiri ค่ะ

ติดตั้งลำโพงของ BOSCH และ Motion Sensor สำหรับเปิด-ปิดไฟไว้ด้วยนะคะ


ออกไปดูด้านนอกกันต่อ ซึ่งเป็นมุมที่เจ้ LOVE มากกก เพราะด้วยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ชอบห้องแอร์ (ยกเว้นร้อนๆ ก็ชอบนะ 555) ฉะนั้นตอนเช้าหรือตอนเย็น จะต้องหามุมนั่งสวยสริดทำงานเกร๋ๆ อะไรไป (แลดูชีวิตดี) ยิ่งมาเจอทีนี่ถูกใจมาก เพราะมีปลั๊กไฟใต้ที่นั่งทุกที่ให้เสียบปลั๊กได้ โดยจะเป็นไฟฟ้าจาก Solar Cell ค่ะ







ขึ้นไปดูชั้น 38 ที่เป็น Rooftop กันบ้างค่ะ


Deck ที่นั่ง-นอน เอกเขนกอันนี้เป็นไม้เตงนะคะ เป็นไม้เนื้อแข็งราคาสูงค่ะ












ไปดูห้องตัวอย่างกันบ้างค่ะ จะเป็นห้อง 2 ห้องนอน ขนาด 59 ตารางเมตร ที่เห็นการตกแต่งแล้วเดาว่าลูกสาวนางต้องเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขามัณฑนศิลป์ (แฟชั่นดีไซน์) ของมหาลัยชื่อดังแถวนี้แน่นอนค่ะ ก็บอกแล้ว ที่นี้มัน Urban + Art + Fashion 555



Digital Door Lock รุ่น Push and Pull ค่ะ



สำหรับห้องที่หันไปทางสยาม จะได้ระเบียงแบบ Double Skin ด้วยค่ะ

วิวดี้ดี

ส่วนที่เป็นคอมเพรสเซอร์แอร์ก็ปิดมิดชิดดีเลยค่ะ







เตาและ Hood ดูดควันของ Smeg นะจ้าาา



อีกจุดเด่นของแสนสิริคือความใส่ในรายละเอียดที่จะเห็นได้จากการออกแบบ Furniture อย่างเช่นตู้นี้สำหรับแขวนของยาวๆ ทำให้เก็บของจริงค่ะ

ตู้รองเท้าที่บิ้วมาให้ด้วย


พื้น Engineering Wood


ชอบ Door Stopper รุ่นนี้ เพราะรุ่นที่เป็นแท่งๆขึ้นมาโดนกระแทกไปนานๆอาจจะมีหลวมได้ แถมมีโอกาสเต๊ะโดนอีก แต่รุ่นนี้จะเป็นแม่เหล็กเรียบไปกับพื้น พอเปิดบานประตูเข้าไปใกล้ๆมันก็จะเด้งขึ้น Lock กันเองค่ะ

แม้แต่ห้องนอนเล็ก ก็ได้กระจกเต็มตามาก




ตู้เสื้อผ้าที่โครงการบิ้วมาให้ด้วย สวยและดูดีเลยค่ะ


ห้องน้ำของที่นี้จะมีความแปลกตาด้วยวัสดุกรุพื้นผนังที่ไม่เคยเห็นที่โครงการไหนมาก่อน ซึ่งเค้าบอกว่ามันคือแกรนนิต บังเอิญเดินผ่านร้าน VALENTINO เป็นสไตล์เดียวกันเลยแหะ สงสัยจะเป็น Trend









ห้องนอน Master จะได้กระจกเข้ามุม Bay Window ด้วยนะคะ


กรอบเฟรมของที่นี่ จะหนาขึ้นมาอีกเป็นเกรดที่ดีกว่า THE LINE ตัวอื่นค่ะ

เห็นวิวน้อง PYNE เพื่อนบ้านเจ้าของสถิติ 15.53% ต่อปี

ส่วนฝั่งนี้ก็เห็นไปถึงถนนวิทยุแนะ

แอบมี Funtion กระจกแต่งตัวพร้อมไฟ LED ซ่อนอยู่ค่ะ




ในห้องน้ำ Master จะได้สุขภัณฑ์รุ่น Washlet ด้วย





หน้าต่างบานใหญ่มากเลยค่ะ

อันนี้แอบพามาดูห้อง Penthouse 3 ห้องนอน ซึ่งจะได้ Upgrade ของดีๆหลายตัวเลยค่ะ


ได้ Kuppersbusch ด้วยงะ


จัดมาให้แบบจริงจังมาก

ตู้เย็น Built-in ด้วย

บานเลื่อนระเบียงขนาดใหญ่มาก 3 ตอน ถ้าแกะกระดาษออกแล้วจะ Grand มากๆ

สุขภัณฑ์ในห้องน้ำได้ของ Hansgrohe เป็น Brand ระดับ Top นำเข้าจาก เยอรมันด้วย


มีอ่างล้างหน้าแบบ His and Her และอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ
สรุป
จริงๆแล้วการลงทุนในคอนโดระยะยาวก็เหมือนการซื้อประกันค่ะ เราไม่รู้หรอกว่าจ่ายๆไปแต่ละเดือน ถึงเวลาป่วยจริงจะเบิกได้ตามที่โฆษณาไหม ฉะนั้นเราต้องเลือก Brand ที่ไว้ใจได้ เหมือนคอนโดของแสนสิริที่ดูจากประวัติโครงการที่ผ่านมาแล้ว ไม่โทรมไว ออกแบบทั้งภายนอกและภายในไว้สวยงาม สภาพดีแม้จะผ่านไปนานหลายปี ทำให้คนที่จะมาเช่าหรือจะมาซื้อต่อเมื่อมาเห็นแล้วก็เกิดความสบายใจและเชื่อใจที่จะเข้ามาพักผ่อน ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อราคาของโครงการในอนาคตค่ะ
สำหรับตลาด Luxury นอกจาก Location ที่ต้องอยู่ในระดับเทพและมีศักยภาพที่จะเติบโตแล้ว ยังจะต้องมีความพิเศษอื่นๆที่ Developer เจ้าอื่นก็ไม่สามารถขึ้นมาแทนที่ได้ นั้นคืองานศิลป์ ที่จะสร้าง Value Added ให้กับโครงการซึ่งมีมูลค่าทั้งในแง่ของราคาและจิตใจ เพราะงานศิลป์นั้นยิ่งนานวัน มูลค่ามันจะยิ่งเพิ่มชนะกาลเวลา แม้จะมีโครงการอื่นที่พยายามจะใช้วัสดุเลียนแบบ หรือให้ของจาก Designer คนเดียวกัน แต่ของแบบนี้ก็รู้อยู่แก่ใจค่ะ ว่ามันคือการ Copy อยู่ดี
ชมรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2xJFuuA
Comments