top of page

Life Ladprao Valley - ที่สุดของส่วนกลาง ที่สุดของทำเล

  • Sukrit Udom
  • Jul 2, 2018
  • 5 min read

สำหรับกรุงเทพฯตอนเหนือ คงไม่มีตรงไหนจะเริศไปกว่า Central Plaza ลาดพร้าวอีกแล้ว ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารการกิน สถานศึกษา อาคารสำนักงาน หรือสวนสาธารณะ แต่ปัญหาของย่านนี้คือเรื่อง 'ราคา' ค่ะ เพราะที่ดินมีราคาสูงมากกก จะเห็นเลยว่าคอนโดรอบๆนี้ราคาอยู่กันที่ตารางเมตรละ 150,000 - 190,000 บาทแล้วง่ะ

พอได้ยินโครงการ Life Ladprao ตัวแรก เจ้คิดว่าแล้วค่ะ AP Thai เก่งมาก ที่หาที่ดินตรงข้าม Central Plaza ลาดพร้าวมาได้ แถมยังทำราคาได้ยั่วใจมากอีก แล้วก็ต้องประทับใจอีกครั้งพอรู้ว่าจะมีโครงการ Life Ladprao Valley อีก เพราะที่ดินดีขนาดนี้ แต่นางสามารถขึ้นได้ถึง 2 โครงการเลยค่ะ ไม่ธรรมดาจริงๆ

เม้าเรื่องชื่อโครงการนิดนึงว่าอ่านว่ายังไง ทาง AP Thai เค้าบอกว่าที่ถูกต้องคือ 'ไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลี่ย์' แต่ใครจะเรียกว่า 'ไลฟ์ ลาดพร้าว วัลเลย์', 'ไลฟ์ ลาดพร้าว วัลลีย์' หรือ 'ไลฟ์ ลาดพร้าว 2' ก็ได้

มีคนถามหลังไมค์มากันเยอะค่ะ ว่าคอนโดเส้นพหลฯซื้อตัวไหนดี เจ้ก็มักจะตอบว่า Life Ladprao ค่ะ เพราะตรงข้าม Central ลาดพร้าวอ่ะ เดี๋ยวพอตึกเสร็จนะ คนจะมากรี๊ดกร๊าดอยากได้กัน แถมราคาก็ยังไม่เวอร์วังมากด้วย ถ้าจะลงทุนก็ยังมี Gap ให้ขึ้นไปได้อีก

แต่ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นยังไม่มีข่าวเรื่อง Life Ladprao Valley เลยค่ะ (อันนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับคนที่ถือ Life Ladprao ด้วยค่ะ)

แต่พอ Life Ladprao Valley มาเนี่ย เจ้ว่าตัวนี้ก็มีจุดขายที่โดดเด่นมากกก เรียกได้ว่าฟังไปเคลิ้มไปเลยทีเดียว ทั้งเรื่องของการออกแบบ ส่วนกลาง Layout ห้องที่เปลี่ยนใหม่หมดเลย แถมเป็น Layout ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

คือเจ้ว่า AP เปลี่ยนไปเยอะมากอ่ะ (ดีขึ้นนะ) โดยจุดที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเรื่องของการออกแบบที่มีความละเอียดมากกก แถมยังเป็นการออกแบบที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริงของคนสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหลายคนสงสัยว่าทำไมเจ้ถึงเริ่มเขียนงานให้ AP เจ้ก็อยากจะตอบว่าลองอ่านบทความนี้ให้จบสิจ๊ะ แล้วเธอจะรู้ว่า 'ไม่เขียนได้ไง'

LOCATION

เรื่องของ Location ก็คงไม่ต้องเล่าอะไรเยอะเนอะ แค่คำว่าหน้า Central Plaza ลาดพร้าว มันก็ตอบทุกอย่างหมดแล้ว ก็นี้มันสุดยอด Location ของกรุงเทพตอนเหนือ ย่านที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุด มีทั้งห้างอย่าง Central, Union Mall ขึ้นไปหน่อยก็มี Major ร้านอาหารทั้งเส้นพหลฯ ทะลุไปจนลาดพร้าวซอย 1 มีเยอะมากกก (สามารถเดินทะลุผ่านซอยพหลโยธิน 22 ได้) รวมถึง Supermarket อย่าง Tesco Lotus และ Tops ใกล้โรงเรียนหอวัง ไม่ไกลจาก ม.เกษตร และใกล้กับสวนจตุจักร

รอบๆนี้ยังเป็นย่านธุรกิจชื่อดังเพราะเป็นที่ตั้ง Head Office ของบริษัทระดับ Top ของประเทศอย่าง SCB Park, ปตท, Bangkok Airways, Thai Airways, TMB ในอนาคตยังจะมีการขยายตัวออกไปอีก เห็นได้จาก Mega Project บางซื่อ Grand Station (Mix Used ขนาดใหญ่ ที่มีอาคารสำนักงานด้วย) และ Mega Project ของ BTS + G Land (เตรียมพัฒนาที่ดิน 48 ไร่เป็นโครงการ Mix Used) ซึ่งจะทำให้รอบๆนี้เจริญขึ้นมากรวมถึงราคาที่จะสูงขึ้นด้วย

สถานีรถไฟฟ้าที่ถือว่าเป็น Interchange Station ของ BTS - MRT ทำให้การเดินทางไปทุกจุดสำคัญในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่สะดวกสบายมาก รวมถึงถนนรัชดาที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วมาจาก New CBD พระราม 9 ด้วย (ถ้าใครตามข่าวเรื่อยๆจะรู้ว่าตอนนี้ สถานีศูนย์วัฒนธรรมกำลังจะมาอีก 3 โครงการใหญ่ๆแล้วนะจ๊ะ)

อีกความโดนเด่นของย่านนี้ก็คงเป็นเรื่องวิวค่ะ เพราะด้วยความใกล้กับสวนจตุจักร จึงทำให้สามารถเห็นวิวสวนขนาดใหญ่ได้ในช่วงกลางวัน และเห็นแสงสีของเมืองเป็น Skyline ในตอนกลางคืน

ขอย้ำจริงๆว่า ทำเลนี้ คือทำเลที่ครบและสมบูรณ์แบบมากที่สุดในเส้นพหลโยธินแล้วอ่ะ โดยเฉพาะตรงข้าม Central ลาดพร้าว ที่เจ้มองว่าอันนี้ Prime กว่าอารีย์เยอะมาก เพราะถ้าพลาดแล้ว ก็พลาดเลยจริงๆ จะรอโครงการใหม่ที่เป็นคอนโด High Rise ยังไง ก็คงไม่ได้ทำเลตรงข้าม Central ลาดพร้าวแบบนี้แน่นอนค่ะ หรือถ้าจะมีจริงๆ ราคาก็น่าจะแพงกว่านี้มากกกด้วยค่ะ

การออกแบบโครงการ

เรื่องนึงที่เด่นมากกก ของโครงการ Life Ladprao Valley คือเรื่องการออกแบบค่ะ ไม่รู้ว่าเจ้คิดไปเองป่าว คือเจ้ก็แอบตามข่าวคอนโดของ AP อยู่ตลอดน่ะ แต่รู้สึกว่าตัวนี้แตกต่างและโดดเด่นจากตัวก่อนๆมากกก คือนางมีรายละเอียดเยอะมากกก ทุกจุดคือดี ถูกใจ สวย เกร๋ ฉลาด

เล่าเรื่อง Design Thinking ก่อน มันก็เหมือนงานวิจัยนั้นแหละ นางจะต้องไปถามคนใช้งานจริง เอาความเห็นจากหลายๆแง่มุม มาวิเคราะห์แล้วออกแบบให้มีความคิดสร้างสรรค์และต้องแก้ปัญหาได้ แถมยังต้องเอา idea ที่ได้มาทดสอบและพัฒนาด้วย

ด้วย Brand Life เนี้ย มันยังมีความ Young อยู่ชิมิ (แต่ไม่ Young ขนาด Aspire น่ะ) แต่ต้องเข้าใจก่อนนะว่าสมัยนี้เราไม่สามารถแบ่งคน (Segmentation) ด้วยอายุได้แล้ว เพราะบางทีคนอายุ 50 ก็มี lifestyle แบบคนอายุ 30 ค่ะ ฉะนั้นเจ้จะขอใช้คำว่า Young at heart ละกัน

คนกลุ่มนี้จะชอบความท้าทาย การผจยภัย นึกถึงอารมณ์แบบ Mint - I roam alone (เจ้ชอบมากกก นางฮา นางน่ารัก) เป็นแนว Adventure เค้าก็เลยเอา Concept 'Live your adventurous spirit' นี้แหละมาใช้ในการออกแบบโครงการให้ความมีความเกร๋ คือไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าแบบบ้านๆน่าเบื่อๆโหลๆทั่วไป แต่เป็นธรรมชาติแบบที่มีความผจญภัย มีความเท่ เริ่มกันตั้งแต่ Exterior เลยค่ะ นางก็คิดถึง Grand Canyon สถานที่ท่องเที่ยวแนวผจญภัยชื่อดังในอเมริกา ซึ่งจุดที่สวยที่สุดของ Grand Canyon คือเวลาที่เราเดินเข้าไปในช่องแคบข้างใน ที่เราจะได้เห็นหน้าผา Free Form ที่มีแสงสีสวยงามจากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นแสงที่ผ่านลงมาตามช่องหิน (เข้าใจยากไปไหม ดูรูปเอาละกัน 555)

รูปจาก https://www.huffingtonpost.com/entry/experiencing-the-slot-canyons-natures-best-kept-secret_us_591b3849e4b086d2d0d8d314

ทางโครงการเลยออกแบบให้ภายนอกอาคารมีรูปบบ Free Form คล้ายๆกับตัวหน้าผาของ Grand Canyon รวมถึงการเลือกใช้สี Copper ที่เหมือนกับแสงสีภายใน Grand Canyon ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ความหรูหราของคนรุ่นใหม่อีกด้วย

และแน่นอนว่าด้วยชื่อ Valley ที่แปลว่า 'หุบเขา' ทางโครงการเลยออกแบบส่วนกลางให้ล้อไปกับการผจญภ้ยในธรรมชาติของหุบเขาจริงๆ ซึ่งมีรายละเอียดเกร๋ๆเยอะมากค่ะ

เริ่มกันตั้งแต่ทางเข้า Valley ที่เป็นเส้นทางสีเขียว 350 เมตรที่จะมี Access Control กั้นตั้งแต่เลี้ยวมาจากถนนพหลโยธินเลยค่ะ (นึกภาพเหมือนเวลาไปเที่ยวพวก National Park ต้องมีด่านเก็บตังค์ก่อน 555 แล้วก็เป็นทางเข้าสวยๆร่มรื่น) ซึ่งหลังจากที่ผ่าน Access Control มาแล้วก็ยังมีที่จอดจักรยานและ Bike Lane ซึ่งทาง AP Thai แจ้งว่าจะจัดเตรียมจักรยานมาให้ลูกบ้านใช้ด้วยค่ะ รวมถึงยังมีรถกอล์ฟให้บริการ รับ-ส่งด้วย (แต่จริงๆ 350 เมตร เดินได้สบายมากค่ะ แถมยังเป็น Private Area ภายในโครงการ คนภายนอกเข้ามาไม่ได้ ปลอดภัยค่ะ) ซึ่งทางเข้าโครงการก็อยู่ห่างจากบันได BTS ห้าแยกลาดพร้าว แค่ 9 เมตรเท่านั้น

แน่นอนค่ะว่า ระหว่างทางก็จะต้องมีจุดชมวิวสวยๆ อารมณ์เหมือนเป็น Lake เกร๋ๆ ก่อนถึงหุบเขา และด้วยความสวยงามของทางเข้าที่มีการแยกถนน ทางเดิน และ Bike Lane อย่างชัดเจน ยังสามารถใช้เป็น Jogging Track สำหรับวิ่งออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยอีกด้วยนะคะ

ซึ่ง Water Feature ส่วนนี้ นอกจากจะเพื่อความสวยงามแล้ว ยังช่วยปรับบรรยากาศก่อนเข้าสู่โครงการได้ดีมากอีกด้วย ได้อารมณ์เหมือนทางเข้าหมู่บ้านระดับ Super Luxury เลยค่ะ

ก่อนจะถึงตัวอาคารแค่ไม่กี่เมตร จะมีสวนขนาดใหญ่ 50 x 11 เมตร หรือ 550 ตารางเมตร ซึ่งวันที่ไปสำรวจมีต้นจามจุรีเก่าแก่ สวยมากอยู่ในพื้นที่ด้วยค่ะ บริเวณที่นั่งพักผ่อนยังเตรียมปลั๊กไฟไว้ให้ จะเอามือถือมานั่งฟังเพลง อ่านหนังสือสวยๆ หรือเอา Notebook มานั่งทำงานในสวนเกร๋ๆ ก็ได้ สวนนี้ยังเป็นทางเดินออกสู่ซอยพหลโยธิน 22 ด้วยค่ะ ซึ่งจะใกล้กับสถานี MRT พหลโยธิน มากๆ โดยจะมีประตูที่ต้องใช้ Key Card แตะเข้าออกเพื่อความปลอดภัยค่ะ

บริเวณที่จะทำเป็นสวนขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นทางเดินออกไปซอยพหลโยธิน 22 ได้ด้วยค่ะ

มีต้นจามจุรีเก่าแก่ ต้นใหญ่ ร่มรื่น สวยมากค่ะ

บริเวณชั้น 1 ของอาคารจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ค่ะ มีทั้งสวนของสวนพักผ่อน, ร้านค้า, Smart Locker, Semi Outdoor Lobby, Living & Play (ที่สามารถใช้เป็นห้องประชุมได้ด้วย), Lobby Lounge, Co-working space

ซึ่งถ้าใครเคยอยู่คอนโดจะต้องเจอกับประสบการณ์ตรงคือ อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากในห้องลงมาใช้พื้นที่ส่วนกลางสวยๆ แต่พื้นที่ส่วนกลางออกแบบมาไม่เหมาะกับการใช้งานเลย หรือพอมีคนใช้เยอะจนรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ไม่มีสมาธิในการจะอ่านหนังสือหรือทำงานเป็นต้น แต่อย่างที่บอกว่าที่นี้เค้าทำ Design Thinking มาแล้ว ทำให้เค้าเข้าใจความต้องการและ Pain Point เหล่านี้เลยนำมาใช้ในการออกแบบพื้นที่ Private in Public Space ซึ่งเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มากค่ะ (เดี๋ยวอธิบายให้ฟังจ๊ะ)

เมื่อเข้ามาถึงบริเวณ Drop Off จะเจอกับ Facade อาคารที่เป็นรูปแบบ Free Form ล้อมาจาก Grand Canyon ที่มีความเท่และหรูหราด้วย Facade สี Copper อีกทั้งยังเสริมความหรูหราด้วยเสาหินอ่อนจำนวนมากรอบบริเวณส่วนกลางชั้น 1 ค่ะ

ส่วนกลางออกแบบ Landscape ของสวนด้านหน้าอาคาร เป็นสระน้ำขนาดใหญ่พร้อมสวนพักผ่อนเป็น Background ด้านหลัง ที่นอกจากจะใช้งานได้จริงแล้ว ยังทำให้เกิดวิวที่สวยงามกับพื้นที่ส่วนกลางใต้อาคารอีกด้วย อีกทั้งบริเวณนี้ยังไม่มีถนนผ่าน (ไม่ว่าจะถนนภายในและภายนอกโครงการ) ทำให้เกิดความ Private เมื่อเข้ามาใช้งานในพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ทาง AP มีความละเอียดในการออกแบบเพิ่มมากขึ้นจากแต่ก่อน

พอมองออกมาจากส่วนกลางภายในอาคารก็จะได้วิวแบบนี้ค่ะ ซึ่งจะเห็นทั้งเสาหินอ่อน รูปแบบ Free Form ของตัวอาคาร สระน้ำและสวนขนาดใหญ่

เมื่อเข้ามาใน Lobby ส่วนแรกก็จะเจอกับ เคาเตอร์หินอ่อน White Panda ที่มีลวดลายสายแร่ที่ชัดเจนและโดดเด่น อีกทั้งยังออกแบบให้มีรูปทรง Cutting Edge เหมือนเป็นอัญมนีชิ้นงาม อวดโฉมอยู่ในโถง Lobby ตั้งแต่เดินเข้ามาเลยค่ะ

จะเห็นได้ว่าการตกแต่งภายในส่วนกลางก็ยังคงเส้นสาย Free Form ต่อเนื่องมาจากภายนอกอาคาร และยังคง Concept 'Private in Public Area' โดยจะเห็นได้จาก Co-working space ที่ออกแบบเก้าอี้ให้มีพนักพิงสูงโอบล้อม ทำให้ไม่ถูกรบกวนได้ง่าย และมีโต๊ะสำหรับนั่งทำงานหรือจะวางของในขณะที่อ่านหนังสือหรือใช้ Tablet ส่วนที่นั่งด้านที่ติดผนังก็ออกแบบให้ให้มีการแบ่ง Zone รวมถึงมี Sound Dome ให้สามารถนั่งผ่อนคลายได้โดยไม่รบกวนคนอื่นค่ะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบมาจาก Insight ความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริงๆ ที่เจ้ชอบมาก เพราะไม่ได้สักแต่ว่าสวยแต่ใช้งานจริงได้ไม่ดี อันนี้คือทั้งสวยและใช้งานได้จริงค่ะ

พื้นที่ Living & Play ก็สามารถใช้เป็นห้องประชุมได้ทั้งแบบ Formal และแบบ Casual เลยค่ะ แถมยังได้วิวสวนขนาดใหญ่บริเวณหน้า Lobby ด้วย

ขึ้นมาที่ส่วนกลางบนชั้น 6 กันบ้างค่ะ ซึ่งจะเป็นส่วนกลางในรูปแบบ Passive คือเน้นการพักผ่อนชิวๆ ยังไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายค่ะ อารมณ์เหมือนแหล่งน้ำที่อยู่ด้านล่างของหุบเขา ที่จะเป็นน้ำที่ค่อยข้างนิ่งสงบ เหมาะแก่การแช่ตัวพักผ่อนค่ะ

สวนและสระขนาดใหญ่บนชั้น 6 นอกจากจะสร้างวิวที่สวยงามให้กับห้องพักอาศัยแล้ว ยังออกแบบมาให้มีความ Private ในการใช้งานสูง อย่างเช่นที่นั่งพักผ่อนตัวนี้ ถ้ามาใช้งานช่วงสัก 5-6 โมงเย็นลงมานอนเล่นอ่านหนังสือน่าจะฟินมากอะ เพราะว่าที่นั่งพักผ่อนยกสูงและแยกออกมาจากทางเดิน แถมยังได้อารมณ์แบบซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ ได้ความ Private สูงมากค่ะ แต่มองออกไปเป็นวิว BTS และ Central นะจ๊ะ คือ Urban Jungle ที่มีความเกร๋มาก

ส่วนของ Pavilion ที่นี้เค้าออกแบบให้เป็นเหมือนถ้ำค่ะ แถมยังมี Projector และปลั๊กไฟเตรียมไว้ให้ด้วยนะจ๊ะ ตัว Pavilion ยัง Connect กับ Passive Pool ที่มีความเกร๋มากในการออกแบบ Landscape ด้วยเส้นสายที่เลียนแบบสระน้ำตามธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศในการนั่งพักผ่อนในบริเวณนี้เหมือนอยู่ในส่วนกลางของ Boutique Hotel หรูๆเกร๋ๆ เลยค่ะ

ในรูปนี้ถ้ามองเข้าไปใน Pavilion จะเห็นว่ามี Projector กำลังฉายภาพอยู่ค่ะ อีกทั้งยังมีที่นั่งแบบลอยน้ำเตรียมไว้ให้ลูกบ้านด้วย เหมือน Pool Party ของฝรั่ง ตามโรงแรม Hipๆ ตอบโจทย์ lifestyle ของคนเมืองได้ดีมากๆค่ะ

ขึ้นมาดู Hi-Light ของโครงการบนชั้น 44-45 กันค่ะ เพราะเป็นส่วนกลาง 2 ชั้นขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ Roof Top ทั้งหมดของอาคาร

เริ่มต้นกันด้วยสระว่ายน้ำอีก 2 สระ (รวมกับสระที่ชั้น 6 เป็น 3 สระเลยนะคะ) แล้วก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าเค้าใช้ Concept Design เป็น Valley หรือหุบเขา นั้นแปลว่าแหล่งน้ำที่อยู่บนยอดเขาจะมีการคลื่นไหวเยอะ อย่างเช่นพวกน้ำตกเป็นต้น เลยจะเป็น Zone ที่มีใช้สำหรับกิจกรรมประเภท Active ค่ะ อย่างสระในรูปข้างล่างนี้ บริเวณด้านขวาก็จะมีการวางจักรยานในน้ำค่ะ รวมถึงจะมีการเตรียมอุปกรณ์สำหรับการออกกำลังกายในน้ำไว้ให้ด้วย และมีที่นั่งสำหรับแช่น้ำพักผ่อนด้วยค่ะ ซึ่งแรงต้านของน้ำจะช่วยให้สามารถ Burn ได้มากขึ้น แต่เกิดแรงกระแทกต่ำ ดีต่อข้อเข่าค่ะ รวมถึงบนชั้นนี้ยังมี Fitness, Lounge, Co-living area ที่มี Pantry มาให้, Amphitheater Room, Library, หน้าผาจำลอง, ลานกิจกรรมที่จะเอาไว้มาเล่น Yoga บนจุดสูงสุดชมวิวเมืองพร้อมลมเย็นๆก็ได้ค่ะ อีกทั้งยังมี Skywalk ที่เป็นทางเดินที่จำลองมาจากการเดินป่าที่เกร๋มากๆด้วย

จากรูปจะเห็นได้ว่าทางโครงการแบ่งการใช้พื้นที่ส่วนกลางออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งด้านขวาที่เป็น AQUA VALLEY ประกอบด้วยสระว่ายน้ำ 2 สระซ้อนกัน Fitness และห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อม Steam Room

ทั้ง 2 สระจะมีที่นั่งพักผ่อน แต่จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สร้างความหลากหลายและ Private ให้กับลูกบ้านในการใช้งาน อย่างชั้น 44 ก็จะมีทั้ง Grotto Sunken Living และในสระว่ายน้ำก็ยังมี Hydro Seat สำหรับนั่งแช่น้ำ ที่สามารถนั่งชมวิวสวนจตุจักรได้จากทั้งสองจุด อีกทั้งยังมี Hydro Bike Zone สำหรับปั่นจักรยานในน้ำ โดยใช้แรงต้านของน้ำเร่งการ Burn และรองรับแรงกระแทก รวมถึงอุปกรณ์การออกกำลังกายในน้ำรูปแบบต่างๆที่โครงการจะจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนสระด้านบนจะเป็น Lap Pool ยาวๆสำหรับว่ายน้ำจริงจัง และมี Grand Valley Bay ที่เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของตึกอีกด้วย

ด้วยความที่เป็นสระว่ายน้ำซ้อนกัน 2 สระ เลยมีการสร้างกิมมิคเกร๋ๆด้วยทางเดินที่ลอดใต้ท้องสระที่เป็นกระจกใส ได้อารมณ์ฺเหมือนเดินอยู่ใน Aquarium ที่ทะลุออกไปเป็นวิวสวนจตุจักรขนาดใหญ่ น่าจะเป็นภาพที่สวยมากๆเลยค่ะ

บริเวณด้านใต้สระ ก็มีการออกแบบให้เป็นถ้ำสำหรับนั่งพักผ่อน แต่ออกแบบให้มีการซ่อนตัวเข้าไปช่วยสร้างความ Private ได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะอยู่ใน Public Space แต่ก็ยังสามารถชมวิวที่สวยงามได้ด้วย

ถัดจากสระว่ายน้ำชั้น 44 จะเป็น Fitness เพดานสูง ที่มีกระจกแบบ Full Height ทำให้สามารถชมวิวได้เต็มตา สร้างบรรยากาศที่รื่นรมในการออกกำลังกายค่ะ

ขึ้นมาบนชั้น 45 จะเป็น Lap pool แนวยาวขนาดใหญ่สำหรับการว่ายน้ำแบบจริงจัง พร้อมที่นั่งพักผ่อนหลายจุดทั้งบริเวณ The Escape Tree และ Hype Lounge เป็น Sunken ลงไปในสระน้ำ ที่สำคัญคือทุกจุดสามารถ Take View ทิศใต้ที่จะเห็นทั้งวิวพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของสวนจตุจักรและแสงไฟของวิวเมืองในยามราตรีได้อย่างสวยงาม

มาที่ส่วนกลางอีกส่วนนึงของดาดฟ้ากันบ้าง ที่มีการออกแบบให้เป็น Hill Trekking จำลองด้วยบันไดที่พาดตัวลัดเลี้ยวผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ และส่วนกลางต่างๆ ขึ้นสู่ง Active Area ที่เป็นจุดสูงสุดของโครงการและยังเป็นจุดชมวิวอีกด้วย เสมือนเป็นยอดเขาที่เราได้ปีนขึ้นมาค่ะ ต้องถือว่าเป็น Trekking Trail ที่เกร๋ที่สุดของเมืองเลยค่ะ แถมยังตอบโจทย์การออกแบบสไตล์ The Adventure ได้ดีมากๆ

จากในรูปจะเห็น Deck ขนาดใหญ่ที่ยื่นตัวออกมา เป็นส่วนนึงของ Alpine Lounge หนึ่งในส่วนกลางสุดหรูบนดาดฟ้าโครงการ อีกทั้งบนนี้ยังสามารถเลือกพักผ่อนได้ทั้งภายในห้องส่วนกลางต่างๆ หรือแบบ Outdoor ที่ทางโครงการก็มีส่วนพักผ่อนเพื่อรับลมเย็นธรรมชาติได้ด้วยค่ะ

การตกแต่งภายในห้อง Alpine Lounge

Sky Walk Circuit Broadwalk ที่เป็นบันไดทางเดินลัดเลี้ยวพาดผ่านต้นไม้และส่วนกลางต่างๆสู่ Active Area ที่เป็นจุดสูงสุดของอาคาร แถมยังมี Rock Camyon หรือหน้าผาจำลองที่ปีนได้จริงบนชั้น 44 ไว้ท้าทายนักปีนผาทั้งหลายด้วยค่ะ

Terrarium Library ซึ่งเป็นห้องสมุดเพดานสูงที่เปิดช่องแสงขนาดใหญ่ที่สามารถชมวิวภายนอกอาคารและวิวสวนร่มรื่นบนดาดฟ้า เพื่อสร้างสุนทรียภาพอันรื่นรม อีกทั้งยังสามารถพักสายตามามองวิวที่สวยงามได้แบบไม่รู้เบื่อเลยค่ะ

The Residence ที่เป็นเสมือน Business Lounge ที่โครงการออกแบบให้มี Pantry เล็กๆสำหรับจัดเตรียมเครื่องดื่มไม่ว่าจะพูดคุยสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อน หรือจองใช้งานส่วนกลางเพื่อจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ก็เกร๋สุดๆค่ะ

รายละเอียดโครงการ Life Ladprao Valley

โครงการตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 5 - 2 - 33.2 ไร่

ห้องชุดพักอาศัย 1,140 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต

ห้องชุดมี 7 แบบ:

Type A - Studio 28.8 ตารางเมตร

Type B - 1 Bedroom 35 ตารางเมตร

Type C - 1 Bedroom 37 ตารางเมตร

Type D - 1 Bedroom 48.6 ตารางเมตร

Type E - 2 Bedroom 57.8 ตารางเมตร

Type F - 2 Bedroom 60.0 ตารางเมตร

Type G - 2 Bedroom 66.5 ตารางเมตร

ที่จอดรถ 482 คัน

ส่วนกลาง: Lobby, Multi-Purpose Room, Juristic Office, Mail Box, 3 Swimming Pool, Fitness Room, Sauna / Steam Room, Yoga Room, Library, Lounge, Multi Living Space, Active Court.

ทีนี้มาดูแปลนอาคารกันบ้าง จะได้เล็งกันถูกว่าจะจองห้องไหนวิวไหนจ๊ะ

แล้วก็มาดู Plan ห้องกันค่ะ

แบบแรกก็คือแบบ A 28.8 ตารางเมตรที่หลายคน wow มาก เพราะด้วยห้องขนาดเล็กที่จะทำให้ราคาไม่สูงมาก แถมยังได้ห้องหน้ากว้างมากกก

ส่วนเจ้ชอบห้องนี้มากค่ะ 35 ตารางเมตรที่เป็น Plan ใหม่ของ AP ที่เป็นห้องยื่นออกไป และมีกระจกเข้ามุมขนาดใหญ่

เป็น Plan ที่ยืดหยุ่นดีอ่ะ แบบถ้าอยู่ๆมีญาติมีหลานจะมาอยู่ด้วย ก็ปรับเป็น 2 ห้องนอนได้ หรือถ้าอยู่คนเดียวก็ทำเป็นห้องทำงาน หรือจะเป็น Walk in Closet ใหญ่ๆเกร๋ๆ ก็ได้

รูป Perspective ห้อง 35b ที่เจ้ชอบมากค่ะ จะเห็นได้ว่าด้วยการกั้นห้องด้วยบานเลื่อน ทำให้สามารถเปิดโล่งเป็นห้องกว้างได้ ดูสบายตามาก อีกทั้งกระจกเข้ามุมในห้องนอนยังทำให้รับวิวได้กว้างขึ้นมาก

ส่วนอีกนึงของห้อง 35 ตารางเมตรแบบใหม่ก็คือห้องในรูปข้างล่างด้านขวามือค่ะ โดยจะเป็น Plan ที่คนชอบมาก เพราะว่าจะมีกำแพงกั้นห้องนอนชัดเจน เป็นสัดส่วน อีกทั้งส่วนของ Living Area ยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ทำให้ห้องดูกว้างมากกก แถมยังมีความ Flexible ที่จะเลือกขยายออกไปจนถึงหน้าต่างก็ได้ เพียงแค่เปิด-ปิดบานเลื่อนกระจกเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้อยู่คนเดียว แล้วเจ้เป็นคนชอบดูหนังมากๆ ก็อาจจะเอาห้อง Living Area ติดกระจกทำเป็น Home Theater Room ซึ่งข้อดีคือด้วยห้องที่มั่นยื่นออกไปนอกตึกทำให้เสียงไม่รบกวนคนอื่น (ไม่โดนด่านั้นเอง) ซึ่ง Sofa ที่เลือกมาใช้ก็อาจจะเป็น Sofa ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นเตียงได้ ทำให้ไม่ว่าจะนอนดูหนัง หรือมีญาติมานอนพักด้วยกลายเป็นห้องนอนเสริมได้ แถมการที่มีบานเลื่อนกั้นยังช่วยตัดเสียงรบกวนจาก Corridor ได้อีกค่ะ

ห้อง 37 ตารางเมตรห้องมุมนี้น่าจะขายดีมากค่ะ ดูกระจกห้อง Living สิ รับวิวเต็มๆ 3 ด้าน อลังการมากค่ะ

รูป Perspective ห้อง 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำขนาด 66.5 ตารางเมตรค่ะ

ในห้อง Master Bedroom ได้หน้าต่างรูปตัว U รับวิวได้ 3 ด้านเลยค่ะ อีกทั้งตู้เสื้อผ้ายังซ่อนเข้าไปในกำแพง ไม่เกะกะและดูสวยงามมาก

Space ของ Living Area จะใหญ่มาก แถมยังได้ครัวห้องกระจกใสแบบปิด ทำให้กลิ่นไม่รบกวน แต่ไม่อึดอัดเวลาใช้งานจริง แถมยังทำให้ Living Area ดูกว้างมากอีกด้วย

PRICE

สำหรับตอนนี้ข้อมูลที่ออกมาคือราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 147,000 บาทค่ะ

และราคาเริ่มต้นที่ 3.49 ล้านบาท ซึ่งห้องเล็กที่สุดคือ 28.8 ตารางเมตร หรือตารางเมตรละ 121,180 บาทค่ะ

ส่วนตัวเจ้รู้สึกว่าเป็นราคาที่ OK มาก เพราะโครงการอื่นๆในบริเวณรอบๆนั้นมีราคาเฉลี่ยกันตั้งแต่ประมาณ 150,000 - 190,000 บาทต่อตารางเมตรกันแล้ว แม้ว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าแพงกว่า Life Ladprao ตัวแรก ก็ต้องบอกว่า

1. ตอนนี้ 1 ห้องนอนของ Life Ladprao หมดแล้ว ถ้าอยากได้ก็ต้องยอมโดนบวก resale ค่ะ

2. แม้จะต้องเดิน 350 เมตร (ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ถือว่าไกลนะ แถมยังเป็นทาง Private ด้วย) แต่ก็ได้ส่วนกลางที่อลังการมากกกมาทดแทนค่ะ

3. ได้ระยะที่ห่างจากเสาไฟฟ้าแรงสูงค่อนข้างมาก (ประมาณ 120 เมตร)

เอาจริงๆไม่อยากให้มานั่งเปรียบเทียบกันระหว่างตัว Life Ladprao กับ Life Ladprao Valley หรอก (แต่รู้ว่ายังไงก็ต้องมีคนเอามาเทียบกัน) เพราะยังไงเจ้ก็มองว่าทั้งสองโครงการนี้ได้ Location ที่ Prime สุดๆของย่านนี้ เพราะมันคือตรงข้าม Central Plaza ลาดพร้าวที่ดีงามจนไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ แถมราคาก็ไม่ได้เวอร์วังเลยค่ะ

CONCLUSION

ส่วนตัวเจ้ชอบมากกก คือลำพังแค่คำว่าคอนโดตรงข้าม Central ลาดพร้าวมันก็คือดีมากแล้ว

แถมยังได้สถานี Interchange BTS - MRT อีก เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า ตอนนี้ BTS เป็นเส้น Main ของกรุงเทพฯชิมิ แต่ตอนนี้ Mega Project ส่วนมากไปลงกันตามแนว MRT สีน้ำเงิน แต่พออยู่ interchange BTS - MRT ก็เหมือนไม่ต้องเลือกค่ะ จะไปไหนก็สะดวกหมด ยิ่งสถานการณ์ BTS เสียที่ผ่านมานี้ยิ่งเห็นชัดเลย ถ้าอยู่ interchange แบบนี้ก็ยังเลือกนั่ง MRT ไปลงใกล้ๆ ละต่อวินมอไซค์ไปได้ อารมณ์แบบสวยเลือกได้อะค่ะ

รอบๆยังเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายทั้งฝั่งพหลและฝั่งลาดพร้าวที่สามารถเดินทะลุออกได้ทางซอยพหลฯ 22 เจ้ชอบตรงที่สวยและอุดมสมบูรณ์ (ลำพังมีแต่วิวสวยส่วนกลางอลังแต่ไม่มีของกิน มันอยู่จริงไม่ค่อย OK อะค่ะ)

เรื่องศักยภาพ มันมีอยู่แล้วค่ะ เพราะย่านธุรกิจของไทยยังโตขยายออกไปตามแนวรถไฟฟ้า ทั้งเส้นพหลฯเอง ที่โตออกไปทางสถานีพหลฯ24 ที่ห่างไปแค่ 1 สถานี หรือ Mega Project บางซื่อ Grand Station ที่ห่างไปแค่ 3 สถานี อีกทั้งการขยายตัวของ CBD อโศกที่โตออกมาทางสถานีพระราม 9 และศูนย์วัฒนธรรม ก็ห่างไปแค่ 5-6 สถานีเท่านั้น

ส่วนกลางของที่นี่ก็ออกแบบมาให้ใช้งานได้จริงๆ ไม่ใช่สวนสวยๆตากแดดเปรี้ยงๆ (คือประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาวไหมง่ะ) หรือ co-working space ที่แทบไม่มีโต๊ะทำงาน ต้องเอาคอมวางบนตักปวดหลังกันไปอีก อีกทั้งเจ้ยังชอบ concept การออกแบบเรื่อง Private in Public Space หรือความเป็นส่วนตัวในพื้นที่เปิด ซึ่งตอบโจทย์คนคอนโดมากๆ ที่อยากออกจากห้องมา enjoy กับพื้นที่เปิดโล่งแต่ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่ และออกแบบมาได้กลมกลืนกับ Concept The Adventure ที่ตอบโจทย์ lifestyle คนรุ่นใหม่อีกด้วย แถมมีพื้นที่ส่วนกลางเยอะมากกกถึง 15 จุด เหลือเฟือสำหรับผู้พักอาศัยไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำมากถึง 3 สระ รวมพื้นที่ในสระน้ำกว่า 600 ตร.ม., สวนและ Fitness ที่มีพื้นที่รวมมากกว่า 2.5 ไร่ ช่วยกระจายปริมาณผู้ใช้งานในแต่ละจุดให้เกิดความ Private สูงสุดค่ะ

เรื่องการออกแบบ Layout ห้องที่นี่ก็โดดเด่นมากเช่นกันค่ะ เพราะนางเล่นออกแบบใหม่หมดเลย ให้เกือบทุกห้องเป็นห้องที่มีความโดดเด่น มีความเกร๋เฉพาะตัว ตั้งแต่ห้อง size เล็กสุด 28.8 ตารางเมตรที่มีหน้ากว้างพิเศษ ห้อง 35 ตารางเมตรแบบใหม่ที่ยื่นออกมา Take View ได้กว้างขึ้นได้ความรู้สึกของห้องมุม ไปจนถึงห้อง 2 ห้องนอนที่มีกระจกเปิดรับวิว 3 ด้านเต็มตา

ส่วนเรื่องของราคา ต้องถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล เพราะ 350 เมตรมันไม่ได้ไกลแบบเดินไม่ได้ แล้วยังเป็นทางเดินแบบ Private ด้วยค่ะ แถมได้ส่วนกลางที่อลังการมากกก รวมถึง Plan ห้องที่โดดเด่นมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ทำเลตรงข้าม Central ลาดพร้าวแบบนี้ น่าจะขึ้นคอนโด High Rise ได้ยากมากแล้ว หรือถ้าจะมีจริงๆ ราคาก็จะสูงมากๆค่ะ

คอนโด Life Lardprao Valley เริ่ม 3.49 ล้านบาท

รอบ iBooking วันที่ 26 ก.ค.นี้

รอบ Pre-sale วันที่ 4-5 ส.ค.นี้

ลงทะเบียนรับส่วนลด 200,000 บาทได้ที่ https://goo.gl/aSEQE5

สอบถามเพิ่มเติมโทร 1623


 
 
 

Comments


bottom of page