top of page

รีวิว New! Singapore Airline Business Class Boeing 787-10 ไป-กลับ Tokyo (Full Trip)

  • Sukrit Udom
  • Feb 24, 2019
  • 4 min read

เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นก็ไปง้ายง่ายเนอะ ตั๋วโปรก็มาแล้วมาอีกมาจนกระเป๋าฉีกไปถึงไหนๆ งานนี้เจ้ขออาสามารีวิว Business และ First Class ของสายการบินต่างๆกันว่าแต่ละเจ้ามีข้อดี ข้อเสีย อะไรตรงไหนบ้าง (ในมุมมองของเจ้นะจ๊ะ)

สำหรับการไปโตเกียวครั้งนี้ เจ้ไปฟาดตั๋วโปรของ Singapore Airline มาที่ราคา 40,010 บาทค่ะ เดินทางช่วงวันที่ 7 - 19 ก.พ. ค่ะ ซึ่งเราจะบินกันทั้งหมด 4 Flights และเข้า Lounge กันไปอีก 4 รอบ (กินรัวๆค่ะ น้ำหนักไม่ขึ้นให้มันรู้ไป)

ข้อดีแรกเลยที่เจ้คิดออกคือ Duty Free ที่สิงคโปร์ของถูกมากกก เหมาะแก่การแวะ Shopping ขากลับอย่างสูง และอีกเรื่องคือ Service อันสุดแสนจะ Excellence ของนาง ที่ใครๆก็ต่างล่ำลือค่ะ แต่ที่เจ้ชอบมากที่สุดคือนางมีเมนู Book The Cook ที่เป็นการสั่งจองประสบการณ์เพิ่มไขมันหน้าท้องกันแบบลอยฟ้าโดย Chef ชื่อดังของนาง และเมนูอันเลื่องชื่ออย่าง Classic Lobster Thermidor ที่ถ้าไม่ได้ลองเหมือนไม่ได้นั่ง SQ (อันนี้ก็เวอร์ไป) เพื่อนเจ้ก็บอกเหมือนกันค่ะว่า ถือว่าคุ้มเมิงบินนานหน่อยแต่กินรัวๆ (เริศค่ะ)

พอพูดถึง Book The Cook ละแอบคิดถึงแสนสิริที่เดี๋ยวนี้เค้ามี Chef Your Table บริการจองพ่อครัวมาทำอาหารให้ทานที่บ้าน เกร๋ๆ รวมถึงพวกรายละเอียดอย่างการออกแบบ น้ำหอม ทั้งหลายบนเครื่อง ก็มีความลงรายละเอียดได้ดีเหมือนกันทั้งสองเจ้า (นางมิได้เป็น Sponsor นะจ๊ะ แต่ถ้าจะเป็น เจ้ก็จะไม่เกี่ยง 555)

ชักอยากรู้ละว่านางดีจริงอย่างเค้าว่าไหม ลองไปดูกันค่ะ

SQ979 : BBK 18.30 - SIN 22.00

2 ชั่วโมง 30 นาที

Boeing 777-200

แน่นอนว่าบิน Singapore Airline ก็ต้องไป Transfer ที่ Singapore ชิมิค่ะ ฉะนั้น Flight นี้จะเป็น Flight สั้นๆ 2 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ คือกินข้าวดูหนังจบก็ลงเรื่องพอดี

Check-in ที่เป็น Business Class Lane แล้วพนักงานจะ Check-in ให้ยาวไปรอรับกระเป๋าที่ Narita Airport เลยค่ะ โดยเค้าจะออก Boarding Pass มาให้ 2 ใบนะคะ

นอกจาก Boarding Pass 2 ใบแล้ว ยังจะได้ Fast Track ในการผ่าน ต.ม. ค่ะ (ก็เร็วกว่าปกตินิดนึง) และแผนที่ในการไปใช้ SilverKris Lounge ตรง Gate D7 จ้า แอบเม้าส์ ทางลง Gate D จะอยู่ตรงจุดรับของ KingPower นะคะ แต่ตรงนั้นป้ายจะมีความงงมาก คือแต่ละป้ายจะชี้ Gate D ไปคนละทางกัน (เริศ!)

Fast Track คนน้อยจริง แต่ช่องและพนักงานก็น้อยตามนะจ๊ะ เลยไม่รู้สึกว่าเร็วกว่ากันมากเท่าไร

พอลงตรง Gate D มาจะเจอป้าย SilverKris Lounge แล้วก็ถึงเลย ไม่ต้องเดินไกลค่ะ

Lounge ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีที่นั่งให้เลือกหลากหลายรูปแบบสุดๆ ที่สำคัญคือโล่งมาก นั่งสบาย

แต่ที่เจ้ชอบสุดคือแบบ Pod แบบนี้ ส่วนตัวดีแท้

ปลั๊กมีให้อย่างล้นเหลือ เรียกได้ว่านั่งตรงไหนก็มีค่ะ คนละเรื่องกับ Lounge ใหญ่ที่สิงคโปร์เลยขอเม้า

นอกจาก Drink Bar ในรูปข้างบนแล้ว ก็จะมี Line Buffet ค่ะ แม้จะไม่ใหญ่โตอะไร ก็อาหารอร่อยแบบดีย์ง่ะ (วันนั้นมีสปาเก๊ตตี้ไวท์ซอส มีข้าวและกับข้าว 2-3 อย่าง มีผัดไท มีส้มตำ มีสลัด มีติ่มซำ ประมาณนี้มั้ง 555

อันนี้คือดีงาม ร้ากกก

เจ้ฟาดผัดไทกุ้ง กับ มัสมันไก่ไปค่ะ อร่อยทั้งคู่ ทำไมผิดกับ Lounge เจ้าป้า

สุขามีห้องเดียวค่ะ ใครนั่งนานก็กรี๊ดดดต่อรอคิวกันไป

หอมดี กดใช้รัวๆ

ขึ้นเครื่องแล้วจ้า เห็นบอกว่า Gate D4 นึกว่าใกล้ๆ (Lounge อยู่ประมาณ D7) โอ้แม่เจ้าเดินไกลมากกก อันนี้เป็น

เครื่องรุ่น Boeing 777-200 จะได้ที่นั่งเป็น Business รุ่นเก่าแต่เริศสุด เพราะความกว้างอลังการยังกับ First Class ตรูดใหญ่ๆอย่างเจ้คือนั่งได้สองคนอะเธอ!!! ส่วนความยาวก็ Business Class ทั่วไปอะคะ 555 แต่ไม่เป็น Flight 2 ชั่วโมงครึ่ง เข่าไม่ชนก็ดีแล้ว

มาถึง Welcome Drink กับผ้าร้อน(มาก) ก็ต้องมา

ภายในช่องเก็บของข้างตัวจะมีน้ำแร่ 1 ขวด หูฟังอย่างดีตัดเสียงรบกวนอีกอัน(นิ่มสบายมาก) และแอบดูว่ามีอะไรให้กินบ้าง (ได้ข่าวเพิ่งกินมาจาก Lounge)

ถึงเวลาสำรวจตรวจตราว่ามีอะไรให้เล่นบ้าง

ซ้ายมือสุดเป็นช่องวางของใหญ่มาก วางกระเป๋าถือผู้หญิงได้สบายๆ ถัดมาเป็นช่องใส่ของอันกระติ๊ด และข้างล่างมีปลั๊กไฟให้ แต่ไม่มี USB Port นะคะ

ขวามือเป็นที่วางแก้วหน้าและกระจก(ชะโงก)แต่งหน้า ส่วนหน้าจอยังเป็นรุ่นเก่า ความคมชัดก็ตามสภาพค่ะ

Leg Room ยาวดีค่ะ หรือจะเอาขาพาดขึ้นมาบนช่องวางเท้าด้านซ้ายเล็กๆนั้นก็ได้ แต่ก็จะต้องนั่งตัวบิดๆเอียงๆ ซึ่งก็มองจอไม่ถนัด ส่วนข้างล่างมีช่องเก็บของอีกช่องค่ะ ส่วน Amenity บ่มีเด้อ

ให้ดูความกว้างกันอีกรอบ กว้างเวอร์

แอบดูที่นั่งข้างๆไม่ได้นะคะ

เวลาปรับเอียงมากๆ สามารถกดปุ่มเหนือจอเพื่อให้หน้าจอมันกดลงมานิดนึงได้ค่ะ

ไฟจะมี 2 แบบค่ะ แบบสว่างทั่วไป กับแบบพุ่งตรงลงมาตรงด้านหน้า (อ่านหนังสือ)

ไม่รู้จะทำไรก็สำรวจห้องน้ำต่อ ถือว่าเล็กมาก เทียบกับของบางเจ้าที่เคยนั่ง

มีผ้าขนหนูบางๆด้วย ส่วน Lotion ทามือหอมค่ะ ทาวนไปค่ะ รัวๆ

ถึงเวลาเสริมความอ้วนแล้ว เมนูมีดังนี้จ้า

Appetiser : Thai Rice Vermicelli Salad (เส้นขนมจีนซ้ายบน)

Main Course : Seared Chicken Breast with Natural Jus / Fried Prawns with Thai Green Herb Sauce < เจ้เลือก อร่อย / Cantonese Style Stew Beef Short Ribs

Dessert : Fresh Milk Curd with Fruit Salsa < อร่อย

ฺขนมปังกระเทียม < เหนียวและไม่ร้อน

ข้อดี : ที่นั่งกว้างเวอร์

ข้อเสีย : พอมันกว้างมาก เลยจะพิงซ้าย หรือ พิงขวา ก็ลำบาก 555 เรื่องมากมะ / ช่องวางเท้าเวลาเอาขาขึ้นมาพาดเล็กมาก / จอไม่ชัดเลย

SQ638 : SIN 23.55 - NRT 07.30

6 ชั่วโมง 35 นาที

Boeing 787-10 Dream Liner (New!)

พอลงเครื่องแล้วเรามีเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ (มี Delay นิดๆ) ซึ่งเดินไกลมากกกกว่าจะถึง Gate ที่เราจะไปต่อ และงานก็เข้าเจ้เลยไม่ได้แวะ Shop แต่ขอแวะไปดู Lounge ที่นี่หน่อยละกัน

ความหายนะของ Flight นี้คือระยะเวลาบิน 6 ชั่วโมง ซึ่งกว่าจะ Take Off, พนักงานเดินถามจะรับ Drink ไหม, อาหารจะกินตอนไหน ก็ปาไปเกินกว่า 30 นาทีแล้วค่ะ แล้วก่อนเครื่องลง 2 ชั่วโมง เปิดไฟให้กินข้าวอีก สรุปคือมีเวลานอนน้อยมากกก แถมไม่มีกระเป๋า Amenity ให้กลับบ้านไว้ดูต่างหน้าอีก (เจ้งก)

แยกระหว่าง Business กับ First Class ค่ะ

Lounge ใหญ่มากกก(ก ล้านตัว) แต่แทบไม่มีที่นั่งเลยค่ะ เต็มแบบรุนแรงมาก

Line อาหารจะใหญ่กว่าที่กรุงเทพเยอะค่ะ แต่เดินวนๆดูแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไร (ส่วนตัวไม่อินอาหารจีน)

หยิบมาแบบขำๆ นั่งได้ไม่นานก็ต้องเผ่นแล้วค่ะ เพราะว่าต้องนั่ง Bus ไปขึ้นเครื่อง บ่มีงวงช้างให้เดินสวยๆ T-T (Bus รวมนะคะ ไม่ได้แยกประเภทตั๋วค่ะ)

สำหรับคนที่มี Over Coat หรือ สูทเค้าจะมีบริการเอาไปแขวนเก็บไวให้ค่ะ โดยจะขอ Boarding Pass ไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพื่อจะได้เอามาคืนถูก Seat ค่ะ

ความกว้างของที่นั่งเล็กลงไปมากค่ะ แต่ช่องใส่เท้ากว้างขึ้นมากเยอะพอสมควรแล้วไม่ต้องนอนเอียงๆบิดๆด้วย แต่ช่องเก็บของก็หายไปเยอะมากเช่นกันค่ะ

เวลาปรับเอนราบสุด จะรู้สึกว่าช่วงก้นสูงแปลกๆ เลยต้องปรับให้เอียงขึ้นมานิดๆค่ะ

ในช่องเก็บของด้านข้างจะมีน้ำแร่ให้ 1 ขวดและหูฟังนะคะ (ขวดเล็กนั้นถือติดมาจาก Lounge) ส่วน Amenity อย่างที่ปิดตา, Slipper และถุงเท้าจะวางไว้ให้ค่ะ

มีกระจกดึงออกมาได้ ตรงกับหน้าพอดีค่ะ

มีปลั๊กและช่อง USB Port ให้ 2 ช่องแนะ อันนึงชาร์ตมือถือ อีกอันชาร์ต Power Bank พอดีเลย

ที่แขวนเสื้อนอก

Flight เราต้องนอนชิมิค่ะ เดี๋ยวเราต้องเปลี่ยนถุงเท้าและ Slipper ที่เค้าให้มาค่ะ ส่วนรองเท้าเราก็เอาใส่ไว้ในช่องเก็บของข้างล่างนี้ได้

มีไฟส่องสว่างให้หลายแบบ

ที่วางแขนทั้งสองข้างสามารถปรับขึ้น-ลงได้ เพียงกดปุ่มตรงบริเวณหัว

ตรงนี้น่ะ

Remote แบบใหม่ ไฉไลกว่าเดิม แถมยัง Connect จอกับ App Singapore Airport ได้ด้วย ส่วนที่ปรับเอนเก้าอี้อยู่ตรงแทบสีดำด้านบนพอเอามือแตะ

ก็จะปรากฏขึ้นมาแบบนี้ค่ะ

หน้าจอกว้างและภาพคนชัดมากกก คือดี แต่การปรับความสว่างต้องเข้าไปปรับใน Setting ค่ะ

กดเลือกตรง Touch Screen ก็ได้

เค้าถามว่ารับเครื่องดื่มอะไรไหม เลยบอกขอนมอุ่นค่ะ อยากนอนแล้ว

เผื่อใครสงสัยว่าช่องตรงเท้าเป็นยังไง ถ่ายมาให้ดูค่ะ อันนี้ได้อยู่ ไม่อึดอัดค่ะ

ถึงเวลาตื่นมากินแบบงวงเงียและทรมานสุดๆ ตื่นมาก็รีบวิ่งไปห้องน้ำ มีแปรงสีฟันและน้ำยาบ้วนปากอยู่ในห้องน้ำนะคะ

มาแล้วค่ะ Classic Lobster Thermidor แต่ทำไมไม่มีขนมก็ไม่รู้

ถึงแล้ววว เครื่องรุ่นนี้ม่านหน้าต่างเป็นแบบกดปุ่มนะจ๊ะ

ข้อดี : ใหม่ / ช่องใส่เท้ากว้างขึ้น นอนสบายขึ้น / มีไวไฟฟรี 30 MB แต่ช้ามากกก พิมพ์ส่ง LINE ยังไม่ไปเลยค้าาาา

ข้อเสีย : เข็มขดนิรภัยกดไหล่คนตัวสูงเจ็บมาก / ห้องน้ำน้อยมาก ดีว่าคนไม่เยอะ / ที่นั่งแคบลง / ไม่มี Amenity Bag เก็บกลับบ้านเป็นของที่ระลึก อิอิอิ

SQ011 : NRT 20.55 - SIN 03.35

7 ชั่วโมง 40 นาที

Boeing 777-300ER

Flight นี้เป็น Flight ที่ประทับใจที่สุดเลยค่ะ อย่างแรกเลยคือเวลาดีมากมีเวลาแรดอยู่ใน Tokyo ได้ยันบ่าย 2-3

พอมา Check-in ปุ๊ป พนักงานมีความน่ารักเวอร์ คือตอนแรกเจ้จองที่นั่ง 19A ซึ่งมันเป็น Zone Business Class ที่มีหลายแถวมาก นางบอกย้ายมา 14A ไหม ได้ Window Seat เหมือนกันแต่เป็น Zone ที่มีแค่ 3 แถว Private กว่ามาก (คือนางมีความ Offer สิ่งที่ดีกว่าให้ลูกค้าอ่ะ ประทับใจ)

สำหรับลูกค้า First และ Business ของ Star Alliance นางจะมี Gold Track ที่อันนี้เร็วจริง

เนี่ย มีคนแค่เนี้ย เร็วเวอร์

ไปตาม Lounge ของ ANA ค่ะ

ส่วนตัวชอบการออกแบบ Tone แบบนี้ ดูสว่าง Modern และ Timeless

อันนี้คิดถึงร้านฟูจิป่ะ 555

Line อาหารแอบเฉยๆ แต่มีของดีซ่อนอยู่

ของดีอยู่นี้จ้า สั่งได้รัวๆ ทำใหม่สดๆร้อนๆ

อันนี้ไม่อร่อย ออกเปรี้ยวๆ

อันนี้อร่อยอย่างน่าแปลกใจ

ของมึนเมา จัดไปสิค่ะ รอไร

เจ้ชอบอันนี้ คือดีย์

สายพ่นควันก็มีห้องให้นะคะ

ด้วยความที่เราอาบน้ำล่าสุดคือเมื่อเช้าชิมิค่ะ ตอนนี้เริ่มเน่าแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ ซึ่งแม้จะมีห้องอาบน้ำมากถึง 9 ห้อง แต่ขอบอกเลยว่าคิวยาวมากค่ะ ฉะนั้นควรจะรีบมาจองคิวนะคะ

นางจะให้เครื่องมาค่ะ พอถึงคิวก็สั้นๆดังๆเหมือนเวลาสั่งอาหารค่ะ

ห้องอาบน้ำใหญ่และดีมากกกกก แม่ปลื้ม

Dyson! เอากลับบ้านเลยได้ไหมค้าาา 555

ขึ้นเครื่องแว้ววว ส่วนตัวชอบที่นั่งแบบนี้มากกว่าตัว Dream Liner รุ่นใหม่ เพราะมันกว้างเวอร์ดี เจ้นี้นั่งพับเพียบดูหนังยังกับอยู่บ้านได้เลย

สำหรับคนที่มี Over Coat หรือ สูทเค้าจะมีบริการเอาไปแขวนเก็บไวให้ค่ะ โดยจะขอ Boarding Pass ไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพื่อจะได้เอามาคืนถูก Seat ค่ะ

ช่องใส่ขาค่ะ

Leg Room เหลือเฝือ

มีช่องใส่ของแยกด้านใต้ (เจ้เอาไว้ใส่รองเท้า)

จอใหญ่ ภาพชัด

อันนี้เจ้ Order 'Book The Cook - Grilled fillet of beef with pesto' ซึ่งตอนแรก ก็แอบกลัวอยู่ว่า ซอส Pesto มันจะเข้ากับเนื้อวัวหรอ แล้วพอนางเอามาเสริฟ มีเส้นสปาเก็ตตี้มาอีก ปรากฏว่า เห้ย! อร่อย หมดจานค่ะ

ด้วยความที่เจ้ซัดไวน์ที่ ANA Lounge มาเยอะมาก เลยขอแค่น้ำเปล่าบนเครื่องค่ะ เจ้แอร์สาวแสนสวยก็จะถามทุกครั้งที่เินผ่านว่าไม่เอาไวน์จริงๆหรอ และเติมน้ำให้ตลอดแม้ว่ามันจะพร่องไปนิดเดียวก็ตาม (เริศเวอร์)

ไอศกรีม Chocolate

ช่วงนี้มีความฮาอย่างนึงค่ะ คือเจ้นึกว่าไอศกรีมคืออย่างสุดท้ายแล้วชิมิ เจ้ก็กะจะนอนละ พอนางเดินมาเติมน้ำ เจ้ก็บอกนางว่าไม่เป็นไรค่ะ นางทำหน้าแบบสริดมากละพูดว่า 'ม่าย ไม่ ไม่ ไม่! ฉันยังผลไม้และ Cheeses ให้คุณอีก' เจ้ฮามาก คือนางมีความ Friendly แบบใส่ใจขั้นสุด Love เลย ละแอร์นางเป็นแบบนี้ทุกคน

อันนี้เป็นการปรับเอนแบบสุดค่ะ แต่ยังไม่ใช่ Flat Bed นะคะ

พอเจ้ทำท่าจะพับเบาะลงมาเป็นเตียงปุ๊ป พนักงานก็จะวิ่งเข้ามาเสนอตัวอย่างไวมากค่ะ ให้นางทำเถอะ เพื่อความสวยงาม 5555

ช่องใส่ขาก็จะแคบๆหน่อย

ตรงนี้มีความน่ารักอีกอน่างนึง คือเจ้ลืมปิดไฟตรงช่องเก็บของ นางเดินผ่านมาเห็นก็จะแอบปิดให้เงียบๆ

ข้อดี : Interior สวย / มีไวไฟฟรี 30 MB แต่ช้ามากกก พิมพ์ส่ง LINE ยังไม่ไปเลยค้าาาา / Service สุดยอด!

ข้อเสีย : ไม่มี Amenity Bag เก็บกลับบ้านเป็นของที่ระลึก อิอิอิ

SQ970 : SIN 07.15 - BKK 08.40

2 ชั่วโมง 25 นาที

Airbus A330-300 (Old!)

เรามารอต่อเครื่องที่สนามบิน Changi เกือบ 4 ชั่วโมงค่ะ โดยที่เราจะลงที่ Terminal 3 แต่ตอนกลับไทยไปออกที่ Terminal 2 ซึ่งเราจะต้องสิงสถิตใน Terminal 3 ไปก่อน จนกว่าจะตี 5 ที่รถไฟระหว่าง Terminal เริ่มวิ่ง

ส่วนตัวเจ้ Love Duty Free ที่นี่มากค่ะ เพราะว่าของถูกมาก พวกเครื่องสำอาง Skin Care น้ำหอม จะซื้อได้ 24 ชั่วโมง แต่ร้านที่เป็น Shop จะเปิด 6 โมงค่ะ แล้ว Boarding 6.45 แปลว่าจะมีเวลา Shop แค่ 45 นาทีเท่านั้น!!! (ก็ดี ไม่เปลืองเงิน)

อยากเข้ามาก อยากรู้ว่าถูกกว่าไทยเยอะไหม

Shop นางอลังมาก

แต่ก่อนจะเสียทรัพย์ กรุณามารับ Voucher ฟรี! 20 SGD ก่อนนะจ๊ะ

ที่บอกว่าถูกกว่า ถูกกว่ายังไงนะหรอ

อย่างกล่องนี้ที่ Duty Free บ้านเราขาย 11,260 บาท (ลดเพิ่มตามหน้าบัตร) แต่ที่นี่ขาย 359 SGD (x 23 ก็ 8,257 บาท)

รุ่นนี้ PARFUM ไม่แน่ใจว่าบ้านเรามีไหม แต่ที่ญี่ปุ่นเจ้ซื้อมา 5,500 บาทมั้ง (เทียบจากรุ่ม eau de toilette ญี่ปุ่นก็ถูกกว่าไทยเยอะนะ) แต่ที่นี่ประมาณ 4,xxx บาทจ้าาาา!!!

ตัวนี้จำราคา Shop ไทยไม่ได้ ประมาณ 1,400 บาทมั้ง แต่ที่นี่ 43.7 SGD หรือประมาณ 1,000 บาท (รุ่นนี้ผู้ชายใช้ได้นะเธอ)

พอมาถึง Lounge นางบอกว่าไฟตก ให้ไปใช้ของ Gold Lounge ที่เป็นสำหรับ Loyalty program ก่อน ก็ดี ได้สำรวจอะไรใหม่ๆ

ถึงเวลาก็ย้ายก้นไป Terminal 2 ค่ะ

เข้า Lounge อีกรอบ

เน่าอีกแล้ว อาบน้ำจ้า เช้าแล้วนิเนอะ ที่นี่จะไม่ประทับใจเท่าไรค่ะ แต่ก็อ่ะ มีให้อาบก็ดีละ

ขึ้นมาบนเครื่อง สิ่งแรกที่รู้สึกคือ เครื่องเก่าจัง! ซึ่งที่นั่งแบบ 2-2-2 นี้จะเป็นอะไรที่เสียความ Private มากๆ แต่ได้ช่วง Leg Room ที่ยาวมากกก

ทีวีจอแบบเก่า ภาพเบลอๆ

Book The Cook - Grilled angus beef burger <<< อันนี้ดีมากกกกก แม่ปลิ้มอีกแล้ว

ก่อนลงเครื่องได้ Fast Track มาซึ่งคนน้อยมากกก หันไปมองของธรรมดาคนเยอะมากกก

จบแล้วนะจ๊ะ เจ้จิขอสรุปรวมๆดังนี้

ชอบมากกก : Service ดีแบบ Over Expectation มาก / อาหารอร่อยมากกก / ได้แวะ Shop ของถูกมาตุนไว้

ไม่ค่อย OK : ทำไมเครื่องที่ไป-กลับไทยเก่าจุง

อ่านแล้วชอบ ก็ฝากกด Like กด Share กันด้วยนะจ๊ะ จุ๊บๆ


 
 
 

Comments


bottom of page