top of page

สวยและรวยมากกก! EP.1 - เล่นหุ้นดีป่ะ?

  • Kamonrat Sukruthaiworakul X Sukrit Udom
  • Jul 19, 2019
  • 2 min read

เล่นหุ้นดีป่ะ?

การลงทุนทุกอย่าง

ถ้าไม่มีความรู้

มันก็เหมือนซื้อหวยแหละ

เวลาเราเห็นคนอื่นเล่นหุ้น

ดูดี ดูสวย เนอะ

นั่งอยู่เฉยๆเงินก็ขึ้นงี้

แต่เจ้จะบอกว่าไม่จริงเลยค้าาา

เพราะคนเล่นหุ้นต้องหาความรู้เยอะมาก

. . .

หลายคนอาจจะรู้สึกแบบ

กราฟหุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว

ถ้าเข้าตอนนี้จะดอยป่ะ?

(ดอย = ซื้อหุ้นตอนราคาขึ้นไปสูงแล้วราคาตก

มองกราฟหุ้นเป็นรูปภูเขา คือเราดันเข้าไปซื้อตอนอยู่บนยอดเขา ลงไม่ได้)

เจ้ว่าทุกการลงทุน

มีปัจจัยหลักๆอยู่ 2 อย่างค่ะ

1) Return on investment (ผลตอบแทน)

2) Risk (ความเสี่ยง)

High Risk High Return

ก็จริงค่ะ การลงทุนมีความเสี่ยง

ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็มักจะสูง

แต่ความเสี่ยงลดได้ ด้วยการศึกษานะจ๊ะ!

บางคนไม่ชอบเสี่ยง

เอาเงินฝาก Bank ดีกว่า

แต่เจ้ว่าเสี่ยงกว่าอีก!

เสี่ยงยังไง?

เงินเฟ้อไงเธอ!

กระทรวงพาณิชย์บอกว่า ไทยมีเงินเฟ้อทั่วไป 2.02% ต่อปี

ค่าเฉลี่ย 15 ปีนะ (2003-2018)

แต่ทำไมฉันว่ามันเยอะกว่านั้น! 555

ดูคอนโดกทม.สิ ขึ้นเฉลี่ยปีละ 8-10%

กร๊๊ดดดดด!

ยิ่งฝาก Bank นาน มูลค่าเงินยิ่งลดฮวบ

เจ้แนะนำให้มองการลงทุนอื่นๆ ที่ชนะเงินเฟ้อได้ด้วย

ลองมาดูเรื่องการลงทุนในหุ้นเป็นตัวเลือกกันค่ะ

Return on investment (ผลตอบแทน)

ในหุ้นดีป่ะ?

หุ้นมีขาขึ้น-ขาลง

บางปีดี-บางปีแย่

บางทีซื้อมาปุ๊ปขึ้นต่อไป บางทีซื้อปุ๊ปลงปั๊ป

เป็นประสบการณ์ที่เจอกันบ่อยๆ

ดูรูปด้านบน

ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี

หุ้นไทยเฉลี่ยผลตอบแทนสูงถึง 11.61% ต่อปีนะแก๊ร!

(เน้นย้ำว่า 'ระยะยาว' นะจ๊ะ)

ยิ่งถ้า 15 ปี (2003 - 2017)

ผลตอบแทนรวมสูงถึง 245.41%

ถ้าลงทุนไว้ 1 ล้านบาทปี 2003

พอปี 2017 จะกลายเป็น 3,454,100 บาท

แต่ถ้าทิ้งไว้ใน Bank ดอก 1.73% จะได้แค่ 1,293,408

น้อยกว่าหุ้นตั้ง 2 ล้านกว่าแน่ะ!

อีกจุดนึงที่เจ้อยากให้สังเกตุคือ

ตลาดไม่เคยติดลบเกิน 1 ปีเลย

Market Cap หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคา

โตเฉลี่ย 22.5% ต่อปี

ซึ่งแลดูมั่นคงแข็งแรงมากค่ะ

. . .

Risk (ความเสี่ยง)

ณ วันนี้ ตลาดขึ้นไปถึง 1,7xx จุดแล้ว

อาจมีคำถามว่า

เอ๊ะ!

สูงไปขนาดนี้ เข้าไปตอนนี้จะกำไรมั้ย?

หุ้นแพงไปรึยัง?

ถ้าต่างชาติเทขาย หุ้นดิ่งลงเหวมั้ย?

คำว่าแพงไปแล้วยัง?

หลายคนอาจบอกว่า ดูค่า P/E สิ (Price per equity)

แปลง่ายๆคือ กี่ปีคืนทุน

ยิ่งเลขเยอะ ก็คือ ยิ่งหลายปีกว่าจะคืนทุน

SET Index (ตลาดหุ้นไทย) เฉลี่ย P/E อยู่ที่ 18

คุณถามว่าแพงมั้ย?

ต้องดูว่าเทียบกับอะไร

China Index P/E 13.5

Nikkei index P/E 20.3

เหมือนถามว่า

กระเป๋า Chanel, Hermes แพงกว่า Coach ไหม?

แม้ราคา Coach จะถูกกว่า

แต่ถือไปแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าราคาจะไม่ตกลงไปมากกว่านี้

แม้ Chanel และ Hermes จะแพงกว่า

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอีกหน่อยราคาจะไม่ขึ้นไปมากกว่านี้

สิ่งที่เจ้กำลังจะบอกคือ

เราไม่ควรมองแค่ P/E เพียงอย่างเดียว

เพราะ P/E มันสะท้อนความคาดหวัง

ของผลตอบแทนจากหุ้นตัวนั้น

เพราะหุ้นบางอย่างพวกธุรกิจผูกขาด

ผลตอบแทนมันดีไง คนเลยซื้อเยอะ

P/E เลยสูง

แล้วตลาดหุ้นยังไปต่อได้อีกมั้ย?

ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกค่ะ

แต่อยากให้ดูกราฟแล้วบอกเจ้หน่อย

ว่าคุณคิดยังไง?

กราฟ 10 ปีที่ผ่านมา

จะเห็นเลยว่า กราฟก็ยังขึ้น

ผ่านวิกฤต Hamburger ปี 2008-2009

วิกฤตราคาน้ำมันดิบปี 2014

วิกฤตก่อการร้ายราชประสงค์ปี 2015

ตั้งแต่ปี 2013 - 2018

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสมไปแล้วกว่า 7 แสนล้าน

(ปีวิกฤต Hamburger ต่างชาติขายสุทธิ 165,000 ล้าน)

แต่จากกราฟ เราจะเห็นเลย SET ยังเป็นแนวขาขึ้นระยะยาว!

วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้เสมอ

10 ปีที่ผ่านมา SET ได้พิสูจน์ของแข็งแกร่งให้เห็นแล้ว

การตอบคำถามว่า SET จะไปต่อได้อีกมั้ย?

ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน

เจ้อยากให้คุณลองศึกษาและมีคำตอบให้กับตนเอง

อย่าไปเชื่อนักวิเคราะห์หรือแม้แต่เจ้

เพราะเงินลงทุนเป็นของคุณ

จงลงทุนบนพื้นฐานความเชื่อและการตัดสินใจของตัวเอง

อีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่กลัว

คือการเคลื่อนไหวของเงินต่างชาติ

ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย

หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า

ฝรั่งเข้าซื้อแล้ว หุ้นพุ่ง!

หรือ

ฝรั่งเทขายหมดหน้าตักแล้ว หุ้นร่วงระนาว!

เจ้ขออธิบายด้วยกราฟด้านล่างนี้

มันคือกราฟแสดงความสัมพันธ์ของ

ตลาดหุ้น ต่อ แรงซื้อต่างชาติ และ แรงซื้อสถาบันไทย

โดยเส้นสีเหลืองคือแรงซื้อต่างชาติ

เส้นสีเทาคือ SET INDEX (ตลาดไทย)

เส้นสีเขียวคือแรงซื้อสถาบันไทย

เส้นตรงกลางคือเส้นแบ่งแดนบวกแดนลบ

โดยถ้าอยู่ด้านบนคือ Zone ซื้อ

อยู่ด้านล่างคือ Zone ขาย

โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วงนะจ๊ะ

ปี 48 - 56 สีเหลือง

คือช่วงที่แรงซื้อต่างชาติมีผลต่อตลาดหุ้นมาก

คือดูเส้นเหลือง(แรงซื้อต่างชาติ) กับ เส้นเทา(ตลาด)

มีการขึ้นๆลงๆตามกัน

ส่วนเส้นเขียว(แรงซื้อสถาบันไทย) สวนทางกับเค้ามาก

แถมอยู่ใน Zone ขายรัวๆ

ดูค่า Correlation ก็ได้ค่ะ มันคือค่าสัมพันธ์กับตลาด

ถ้าเอาเลขนี้มา x 100 มันก็คือ % นั้นแหละ

อย่างในกราฟ แรงซื้อต่างชาติ = 0.80

ก็แสดงว่า กราฟแรงซื้อต่างชาติ มันเหมือน กราฟตลาด 80% เลยค่ะ

แต่แรงซื้อสถาบันไทย = -0.82

ก็คือสวนทางอย่างแรง

(ช่วงนี้แหละ ที่คนที่มีผลมากๆต่อตลาดหุ้นไทยคือต่างชาติ)

ปี 56 - 59 สีเขียวอ่อน

ช่วงที่แรงซื้อต่างชาติเริ่มขายออก และแรงซื้อสถาบันไทยเริ่มเข้า

จะเห็นเส้นสีเหลือง(แรงซื้อต่างชาติ) ร่วงลงเรื่อยๆ - ขาย

ส่วนเส้นสีเขียว(แรงซื้อสถาบันไทย) สูงขึ้นเรื่อยๆ - ซื้อ

ปี 59 เป็นต้นไป สีเขียวเข้ม

ช่วงที่แรงซื้อไทยมีผลต่อตลาดหุ้น

เส้นสีเขียว(แรงซื้อสถาบันไทย) ล้อกันไปกับเส้นสีเทา(ตลาดไทย)

(แสดงว่าแรงซื้อสถาบันไทยนี้แหละ ใหญ่กว่าแรงซื้อต่างชาติแล้ว

จะขึ้นจะลงขึ้นอยู่กับแรงซื้อสถาบันไทยแล้วละ)

ดังนั้นถ้าใครกลัวฝรั่งขายหุ้น จงสบายใจได้

เพราะตอนนี้สถาบันไทยนี้แหละ เป็นคนคุมเกมส์อยู่

ซึ่งก็ระดมทุนมาจากรายย่อยนี้แหละ

อย่างพวก LTF, RMF และอื่นๆ

ที่เค้าให้ถือครองนานๆ ไม่ให้ขายง่ายๆ

จึงทำให้มีเม็ดเงินสะสมในตลาด

ตลาดก็เข้มแข็งและมีเสถียรภาพ

ฉะนั้นถ้าถามเจ้ว่าตอนนี้ลงทุนหุ้นยังดีอยู่มั้ย?

ความเห็นส่วนตัวเจ้ว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ในระยะยาว

(เน้นย้ำนะคะ ว่า ระยะยาว)

ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นระยะสั้น

เจ้ว่าขึ้นอยู่กับ Techniques ของแต่ละคนละคะ

แต่เจ้เป็นสาย VI (เล่นยาว) นะคะ 555

เดี๋ยวตอนหน้า เจ้จะมาเม้าส์มอยกันนะคะว่า เราจะเริ่มต้นยังไงกันดี :)

เขียนโดย : Kamonrat Sukruthaiworakul

เรียบเรียง : Sukrit Udom


 
 
 

Comments


bottom of page