top of page

สวยและรวยมากกก! EP.2 - "อ่านงบดุล" ก็เหมือนจับผิดเพื่อนขี้โม้

  • Kamonrat Sukruthaiworakul X Sukrit Udom
  • Sep 4, 2019
  • 3 min read

ตอนที่แล้ว เราเม้ากันเรื่อง 'หุ้นไทย' ไปแล้วชิมิจ๊ะ

"ก็รู้แล้วหล่ะว่าดี แต่จะเริ่มยังไง?"

นักลงทุนระยะยาว หรือที่เค้าเรียกกันว่า VI (Value Investing)

คือเราจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการดีค่ะ

"จะรู้ได้ไงว่าบริษัทนี้ ผลประกอบการดี?"

ก็ต้อง "อ่านงบ" ให้เป็นค้า!

จะได้เป็นนักลงทุนที่สวยและรวยมาก

ถือหุ้นที่ทำกำไรกันรัวๆ

"อ่านงบ" คืออะไร?"

ก็เหมือนกับการสวมวิญญาณนักสืบพันทิพ

หาฐานะที่แท้จริงของยายเพื่อนสาวจอมขี้โม้

ที่ชอบมาอวดรวยแล้วชวนเราไปลงทุนทำนู้นนี่นั้นอยู่ตลอดเวลา

การที่เราจะรู้ได้ว่านางรวยจริงอย่างที่โม้ไว้ไหม

ก็เข้าไปสืบดูสินทรัพย์ (asset) ของนางค่ะ

คอนโดหรูสุขุมวิท รถเบนซ์ SLK

ที่ดินเขาใหญ่ กระเป๋าหลุยต๊องๆ

รูปถ่าย Ocean Villa, Maldive หรือรูปเงินเป็นฟ่อนๆ

ที่นางชอบ Post ลง Facebook

พร้อม Caption เกร๋

"ถ้าอยากประสบความสำเร็จแบบนางให้ติดต่อมา"

นางได้มายังไง หาได้เองจริงเปล่า?

หรือว่าไปถ่ายมาจาก Showroom Benz?

เราจะได้รู้ว่า ธุรกิจที่นางชวนไปลงทุนมันจะดีจริง

หรือจะโดนหลอก?

นางก็เหมือนกับบริษัทที่เราจะไปลงทุนนั้นแหละค่ะ

ภาพลักษณ์ภายนอกอาจจะดูดี

ออกข่าว เกร๋ Good ผลประกอบการดีเวอร์วัง

(แล้วใครจะมาออกข่าวว่าฉันขาดทุนละยะ)

เราต้องประเมินฐานะของนางก่อน

โดยการดู "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" ที่นางมีค่ะ

ที่เรียกว่า "อ่านงบ" นั้นเอง

การดู "งบการเงิน" ปกติเค้าดูกัน 5 ตัวค่ะ

1. งบแสดงฐานะการเงิน

2. งบกำไรขาดทุน

3. งบกระแสเงินสด

4. งบการเปลี่ยนแปลงของเจ้าของ

5. หมายเหตุงบการเงิน

ถามว่าหมดนี้ ยากม่ะ เยอะป่ะ?

เจ้ตอบได้แค่ว่า อย่าได้กลัว! แล้วก็อย่ารีบ! เดี๋ยวไม่ทันได้รวย!

ค่อยๆหัดดูกันทีละตัว เดี๋ยวก็โปรเองค่ะ

. . . งบตัวแรกที่จะดูกันในวันนี้

"งบแสดงฐานะการเงิน (Balance sheet)"

หรือเรียกสั้นๆว่า "งบดุล" ค่ะ

เป็นตัวบอกฐานะการเงินของบริษัท

เราจะดูที่ "สินทรัพย์", "หนี้สิน"

และ "ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)"

โดยความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวนี้คือ

สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน) ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะ

สมมุตเจ้เปิดกิจการร้านขนมหวานสวยสะท้านปฐพี

เจ้มีทุนอยู่ 1 ล้านบาท แต่มันไม่พอเลยไปกู้แบงค์มาอีก 1 ล้านบาท

เจ้ซื้อร้าน 1 ล้านบาท

ซื้ออุปกรณ์ทำขนม 250,000 บาท

ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งร้าน 250,000 บาท

รวมเป็นเงิน 1.5 ล้าน

เจ้เหลือเงินสดในบัญชี 5 แสน

แสดงว่าเจ้มีสินทรัพย์รวม 2 ล้านบาท

ลองเอาตัวเลขมาใส่ในสูตรเลยค่ะ

เวลาเราจะดูงบบริษัทที่เราสนใจ

ไม่ต้องเข้าไปสืบในพันทิพหรือ Facebook นะจ๊ะ

เข้า www.set.or.th จ๊ะ

แล้วพิมพ์ชื่อย่อบริษัทในช่อง Quote

แล้วกดไปที่ "งบการเงิน/ผลประกอบการ" ในกรอบสีแดง

นี้ก็คือสรุปยอด "งบดุล" ที่เราตามหานี่เอง!!

วิธีอ่านนะจ๊ะ ไม่ต้องได้เลขเกรด A ก็อ่านได้ ง่ายเวอร์

A = สินทรัพย์รวม

B = หนี้สิน

C = ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน)

ไตรมาสล่าสุด 2/62 จะเห็นว่า

1080.37 (A) = 155.39 (B) + 924.98 (C)

เท่ากันตามสมการงบดุลเป๊ะเลยค่า

แต่เดี๋ยวก่อน!

ตัวเลขฉากหน้าพวกนี้

มันเป็นแค่รูปที่นางโพสลง Social สร้างภาพเท่านั้น!

เราต้องสืบค้นลงไปให้ลึกกว่านี้ค่ะ

ถึงจะรู้ว่าภาพเบื้องหน้าอันสวยงามเหล่านี้

นางได้แต่ใดมา

โดยดูจากงบดุล version เต็ม

โดยให้คลิกตรง “งบการเงินล่าสุด”เลยค่ะ

มันจะแสดงรายละเอียดมากขึ้นค่ะ

ตัวอย่างที่เจ้เอามาให้ดูนี้เป็นของร้านขนมหวานชื่อดัง

เชิญแกก่อน หรือ After you (AU)

ที่ใครๆก็ชอบไปนั่งสวยๆ กินขนม เม้าท์มอยกับเพื่อนสาวค่ะ

ในงบเต็มนี้เราจะเห็น "รวมสินทรัพย์" บรรทัดสุดท้าย =1,080.37

เท่ากับสินทรัพย์รวม (A) ในหน้างบการเงิน/ผลประกอบการเลย

เพียงแต่งบดุล version เต็มนี้

จะแจกแจงให้เราเห็นรายละเอียดมากขึ้นค่ะ

ตัวเลขในหมวด "สินทรัพย์ (A)" จะแยกออกเป็น

สินทรัพย์รวม (A) = สินทรัพย์หมุนเวียน (A1) + สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (A2)

1,080.37 (A) = 431.59 (A1) + 648.78 (A2)

แล้วอี "สินทรัพย์หมุนเวียน" กับ "ไม่หมุนเวียน" นี่มันคืออัลไลฟร่ะ?

อย่าเพิ่งหัวหมุนไปตามชื่อมันค่ะ

สินทรัพย์หมุนเวียน (A1)

คือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง

ที่บริษัทสามารถเอาไปแปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปีค่ะ

ได้แก่ เงินสด ลูกหนี้ทางการค้า สินค้าคงเหลือ สินค้าหมุนเวียน

ที่เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย

Tips:

แล้วเราดู "สินทรัพย์หมุนเวียน" ไปทำไมเหรอ?

ก็จะได้รู้ไงว่าบริษัทมีเงินใช้คล่องมือมั้ย

ถ้าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่แปลงเป็นเงินสดได้ง่ายอยู่เยอะ

ก็แสดงว่ามีสภาพคล่องการเงินดีค่ะ

แล้วถ้าบริษัทมี "ลูกหนี้ทางการค้าเพิ่มจากปีก่อน" นี่ผิดปกติมั้ย?

ต้องดูว่าลูกหนี้ทางการค้าว่าเพิ่มขึ้นตามยอดขายรึป่าว

ตามหลักเลย

ขายของได้มากขึ้น ลูกหนี้การค้าก็เพิ่มขึ้นตาม

(เผื่อใครงง ลูกหนี้การค้าคืออะไร

ก็คือลูกหนี้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัท

แล้วยังไม่ได้จ่ายตังโดยอาจมีกำหนดชำระใน 30 หรือ 60 วันแล้วแต่ที่ได้ตกลงไว้)

แต่ถ้าลูกหนี้การค้าเพิ่ม แต่ยอดขายไม่เพิ่มด้วย

ให้เราสงสัยไปก่อนเลยว่า บริษัทเสี่ยงมีปัญหาเรื่องเก็บหนี้จากลูกหนี้ไม่ได้!

ถ้าสินค้าคงเหลือใน Stock เยอะ มันจะดีรึป่าว?

โดยทั่วไปสินค้าคงเหลือเยอะไปไม่ดีค่า ให้เราดูประเภทสินค้าด้วย

ต้องดูประเภทสินค้าด้วยนะคะ ถ้าเป็นสินค้าที่ล้าสมัยได้

เช่น สินค้าเทคโนโลยี สินค้าแฟชั่น อาจเกิดปัญหาสินค้าตกรุ่น

แล้วต้องนำมาเลหลังขายลดราคาในอนาคต

กำไรก็ลดตามไปด้วย

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (A2)

คือสินทรัพย์ที่ใช้เวลาเกิน 1 ปี เพื่อแปลงเป็นเงิน

เช่น เงินฝากระยะยาว ที่ดิน ตึก เครื่องจักร

และ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ สัมปทาน

Tip:

ถ้าเราเห็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากเดิมมันแปลว่าไร?

แปลว่าเป็นไปได้ว่าบริษัทมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ

เช่น ซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน อันนี้แหละที่จะแสดงถึงการเติบโตทางธุรกิจ

เราก็จะเห็นตัวเลขพุ่งขึ้นมาในรายการ “ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์”

. . .

เรามาดู "หนี้สิน" กันบ้าง

หนี้สินรวม (B) = หนี้สินหมุนเวียน (B1) + หนี้สินไม่หมุนเวียน (B2)

155.39 (B) = 127.96 (B1) + 27.44 (B2)

แล้ว "หนี้สินหมุนเวียน" กับ "ไม่หมุนเวียน" มันคืออัลไลอีกล่ะ หนี้สินหมุนเวียน (B1)

คือหนี้ระยะสั้นที่บริษัทต้องจ่ายคืนหนี้ภายใน 1 ปีค่า

ประกอบด้วย เจ้าหนี้การค้า ภาษีที่ค้างจ่าย หนี้แบงค์ระยะสั้น เงินปันผลค้างจ่าย

หนี้ไม่หมุนเวียน (B2)

คือหนี้ระยะยาวที่มีเวลามากกว่า 1 ปีในการชำระหนี้

เช่น หุ้นกู้ เงินกู้ระยะยาว ผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายพนักงานเช่นเงินเกษียณพนักงาน ปกตินักลงทุนจะไม่ชอบบริษัทที่มีหนี้เยอะๆ

มีหนี้เยอะ ก็ต้องจ่ายหนี้ กำไรก็ลด

แถมต้องเอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยอีก

หนี้ มากกว่า (>) ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)

มีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน หนี้ยิ่งมากยิ่งเสี่ยง

หนี้ น้อยกว่า (<) ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)

มีความเสี่ยงน้อยกว่า บริษัทมีฐานะมั่นคงกว่า หนี้ยิ่งน้อยยิ่งเสี่ยงน้อย

ตัวอย่าง AU: หนี้ 155.39 ล้าน < ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน) 924.98 ล้าน

ซึ่งถือว่าน้อยมากก ความเสี่ยงต่ำมาก และบริษัทมั่นคงมากค่ะ

Tips

เราไม่ควรลงทุนในบริษัทที่มีหนี้มากใช่มั้ย??

ไม่เสมอไปค่ะ!

ต้องดูประเภทธุรกิจด้วย เช่น ธนาคารจะมีหนี้สินมาก

ถ้าไปดูงบดุลตัวเต็ม หนี้ส่วนใหญ่ของธนาคาร

คือหนี้จากการรับฝากเงิน ที่ธนาคารนำไปปล่อยกู้ต่อ เพื่อสร้างรายได้

เลยกลายเป็นว่า ยิ่งมีหนี้สินเยอะ ยิ่งหารายได้ได้มากขึ้น

อีกตัวอย่าง ธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกอย่าง 7-11 หรือ CPALL

มีหนี้สินจากเจ้าหนี้การค้ามาก เมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่น

เจ้าหนี้การค้าหมายถึง เจ้าหนี้ที่บริษัทเป็นหนี้เนื่องจากการซื้อสินค้า/บริการเค้ามา

แล้วยังไม่ได้จ่ายตังค่าสินค้า โดยอาจมีกำหนดชำระภายในเวลาที่ตกลงกัน

เช่น สมมติ ร้านขนมสวยเจ้ขายคุ้กกี้ให้เซเว่น โดยให้เครดิตเซเว่น 30 วัน

แบบนี้เซเว่นก็จะได้เปรียบที่เอาขนมไปขายก่อน

ค่อยจ่ายหนี้ทีหลัง แบบนี้มันดีต่อใจเอ้ยต่อธุรกิจเลย!

เห็นมั้ยคะว่าบางทีเราเห็นบริษัทมีหนี้มาก

เราอย่าเพิ่งไปด่วนสรุปได้ว่าธุรกิจนั้นไม่ดีค่ะ

ถ้าเราอยากรู้ความสามารถในการจ่ายหนี้ของบริษัทว่าดีแค่ไหน ดูยังไงอ่ะ?

ง่ายมากค้า! ดูเทียบหนี้สินหมุนเวียน (B1) กับส่วนสินทรัพย์หมุนเวียน (A1)

ถ้าสองอย่างนี้มีสัดส่วนใกล้เคียงกันแสดงว่าบริษัทจะมีความสามารถชำระหนี้ได้ไม่ยาก

โดยแปลงสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี

มาจ่ายหนี้ที่มีกำหนดชำระใน 1 ปีได้สบายๆค่ะ

. . .

"ส่วนทุน" หรือ "ส่วนของผู้ถือหุ้น"

ส่วนของผู้ถือหุ้น (C) = ทุนจดทะเบียน (C1) + ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (C2) + กำไร/ขาดทุนสะสม (C3)

มันคืออันหยังหว่า?

ทุนจดทะเบียน (C1)

คือจำนวนเงินลงทุนตั้งแต่กิจการถูกจดทะเบียน

โดยทุนนี้จะถูกหารออกมาเป็นหุ้น

สมมติ ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท หารออกมาเป็น 1 ล้านหุ้น

ก็จะเท่ากับมีราคาหุ้นตอนเริ่มต้น (เราเรียกว่าราคาพาร์)

= หุ้นละ 1 บาท

อย่าง AU มีทุนจดทะเบียนทั้งหมด (C1) 81.56 ล้าน

โดยแบ่งเป็นหุ้นจำนวน 815,623,561 หุ้น

ในราคาพาร์ที่ 0.10 บาทเท่ากันทุกหุ้น

เท่ากับว่ามูลค่าทุนจดทะเบียนคิดจาก 815,623,561 x 0.10 = 81.56 ล้านบาท (C1) นั่นเอง

แต่! ราคาพาร์ก็เหมือนราคาเริ่มต้นคอนโด

ที่มันอาจจะไม่มีอยู่จริงสำหรับคนทั่วไป 555

เพราะราคานี้อาจจะมีไว้จับฉลาก

หรือขายให้กลุ่มลูกค้าโคตะระ VIP Super Priority

ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (C2)

คือส่วนเพิ่มหรือส่วนลดลงของมูลค่าหุ้น

โดยเทียบจากมูลค่าตั้งแต่เริ่มออกขายที่ราคาพาร์กับมูลค่าปัจจุบัน

ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเท่าไหร่แล้ว

โดย "ส่วนเกินมูลค่าหุ้น" คิดมาจาก

มูลค่าปัจจุบันของหุ้น – มูลค่าหุ้นที่คิดจากราคาพาร์ของหุ้น

เป็นได้ทั้งเพิ่มขึ้นหรือติดลบนะจ๊ะ

ถ้าเป็นบวกยิ่งมากก็แสดงว่าราคาหุ้นมีการเติบโตมาก

แต่ถ้าเป็นลบแปลว่าราคาหุ้นลดลงจากราคาแรกเริ่มที่ขาย(ราคาพาร์)

กำไร/ขาดทุนสะสม (C3)

แล้วกำไรขาดทุน

มันมาอยู่ใน ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) ได้ยังไง?

บริษัทได้กำไรมา ก็เก็บไว้เป็นทุน ทำธุรกิจต่อไปไงเธอ

ถ้าบริษัทกำไร ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) จะเพิ่ม

แต่ถ้าขาดทุน ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) จะลด

แต่กำไรที่ได้มา จะถูกดึงมาเป็น "ทุนสำรองตามกฎหมาย"

บังคับให้จัดสรรไว้ไม่น้อยกว่า 5% ของกำไรที่บริษัทหาได้

หรือบริษัทอาจจัดสรรไว้เพื่อเอาไปจ่ายหนี้

ส่วนกำไรที่เหลือ

ก็อาจจะเอาไว้ปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ

เย้!

ถ้าบริษัทไหนมีการขาดทุนสะสม

ตามกฎหมายจะไม่สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้

จนกว่าจะทำกำไรมาหักล้างขาดทุนสะสมให้หมดซะก่อนค่ะ!!!

แปลว่าถ้าเราซื้อหุ้นโดยดูแต่ราคา ไม่ดูงบเลย อาจจะอดได้ปันผลนะจ๊ะ

Tips

อีกตัวที่อยากให้ดู

“ทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้ว”

มันคืออะไรหว่า?

สมมติ เจ้เปิดบริษัทใหม่

ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

โดยเปิดกับเพื่อนสาว แบ่งหุ้นกันคนละ 50%

แปลว่าจริงๆแล้ว เจ้กับเพื่อน ต้องเอาเงินคนละ 500,000 บาท

มาใส่เป็นทุนจดทะเบียนชิมิค่ะ

แต่! ในชีวิตจริง เราแปะโป้งไว้ก่อนได้ค่ะ

เจ้กับเพื่อนคุยกันแล้วว่า เห้ย แก

ใช้เงินจริงแค่ 400,000 บาทในการเริ่มธุรกิจ

เราจ่ายกันมาแค่คนละ 200,000 บาทก่อนละกัน

ก็แสดงว่า "ทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้ว" คือ 400,000 บาท

สรุปก็คือ "ทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้ว" หรือ”มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว”

มันก็คือ เงินที่เจ้าของและผู้ถือหุ้นลงขันเอาเข้าบริษัทแล้วนั่นเอง!!

ซึ่งบางครั้งเวลาที่ มูลค่าที่ชำระแล้ว (<) ทุนจดทะเบียน

ก็หมายถึงว่าบริษัทยังเรียกเก็บตังไม่ครบตามทุนที่จดทะเบียนไว้

บริษัทก็อาจจะเรียกให้ชำระเพิ่มในภายหลังได้

หรือที่เค้าเรียกว่า”การเพิ่มทุน”เพราะต้องการเงินไปลงทุนเพิ่มนั่นเอง!!

ซึ่งการเพิ่มทุนมีหลายแบบ ดีไม่ดียังไง เจ้ขอแปะโป้งไว้ค่อยมาคุยรายละเอียดอีกทีนะคะ

แล้วมันสำคัญยังไง?

1. บางบริษัทที่ยังไม่ได้ชำระเต็ม อาจจะเรียกเก็บเพิ่มได้นะจ๊ะ

กรี๊ดดด แปลว่าเราอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม

แทนที่จะได้เงินแทนนะจ๊ะ

อันนี้เจ้ก็ยังไม่เคยโดนเรียกเก็บเพิ่มเหมือนกัน

ว่ามันจะเป็นยังไง

2. บางทีเราเห็นว่าบริษัทมีเงินเพิ่ม

ต้องดูด้วยว่าเงินนั้นมาจากกำไร

หรือนางไปเรียกเก็บผู้ถือหุ้นเพิ่มนะคะ

ยิ่งถ้าเรียกเก็บเงินจากผู้ถือหุ้นเพิ่ม แต่กำไรเท่าเดิม

นี้ก็ แปลกๆแล้วไงละ!

ดูตัวอย่างข้างล่างนี้นะคะ

ตัวอย่างบริษัท สวยรวยเชิด

ปี 2561 บริษัทสวยรวยเชิด มีส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) 400 ล้าน

เรียกเก็บชำระเข้าบริษัทมาทั้งหมด 400 ล้านแล้ว

ผ่านไปปีนึง มีทุนเพิ่มขึ้นมา 150 ล้าน กลายเป็น 550 ล้าน

เจ้ให้ทายว่าตังที่เพิ่มมาจากไหนคะ?

มาจากกำไรค้า !!!

ดูง่ายๆค่ะ มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระ(ชำระ) ไม่ได้เพิ่ม

แปลว่าไม่มีมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ถือหุ้น

ก็แสดงว่าส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) ที่เพิ่มมา มาจากกำไรค่ะ

นักลงทุนที่สวยและรวยมากอย่างเรา

ต้องอยากให้ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) เพิ่มจากกำไรนะจ๊ะ

จะได้มีเงินปันผลไป Shopping หรือเที่ยวสวยๆกัน

จะให้เค้ามาเรียกเก็บตังช้านเพิ่มทำไมจริงไหมคะ

ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างของจริงจาก AU กันค่ะ

ปี 59 มาปี 60

ตัวเลข "มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว" เพิ่มจาก 72.50 เป็น 81.56

แปลว่าเค้ามีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม 9.06 ล้านบาท

แต่เงินที่เรียกเก็บเพิ่มไป ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 123.47 ล้านบาท

(จาก 808.83 มาเป็น 932.30 ล้านบาท)

แปลว่าขอตังค์หน่อยจิ 9.06 ล้านบาท

เดี๋ยวฉันเอาไปทำให้มันเป็นส่วนทุนที่เพิ่มขึ้น 123.47 ล้านบาท

(9.06 ลบ มาจากเงินผู้ถือหุ้นที่เรียกเก็บเพิ่ม +114.41 ลบ มาจากกำไรจากธุรกิจ)

ปี 60 มาปี 61

มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วไม่เพิ่ม ยัง 81.56 เท่าเดิม

แปลว่านางไม่ได้เรียกเก็บเงินจากผู้ถือหุ้นเพิ่ม

ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 24.80 ล้านบาท

(จาก 932.30 มาเป็น 957.10 ล้านบาท)

แปลว่านางมีกำไรเพิ่มมา 24.80 ล้านบาท

เย้!

เราต้องดูให้เป็นนะคะว่า "สินทรัพย์รวม" ที่เพิ่ม

มันเพิ่มจาก "กู้หนี้ยืมสินมาเพิ่ม" หรือ "ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน) เพิ่ม"?

ตามสูตรที่บอกแต่ต้น

สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)

ถ้าเพิ่มจากส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน)

ต้องดูให้ออกอีกว่า มันเพิ่มจาก "กำไร" หรือ "เรียกเก็บตังผู้ถือหุ้นเพิ่มนั่นเอง"!

เพราะการที่เราไปซื้อหุ้นเค้ามา ก็แปลว่าเราได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัท

เราก็ย่อมอยากให้บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้น

โดยเพิ่มมาจากส่วนของกำไร จริงไหมค่ะ!

ป่ะ งั้นเราไปซื้อหุ้น AU แล้วก็ไปอุตหนุนกิจการตัวเองให้พุงกางกันเถอะ

ล้อเล่นนะคะ 555

. . .

จากที่เจ้ได้อธิบายการดูงบไปพอสมควร

ก็หวังว่าพวกเรา เหล่านักลงทุนคนสวย

จะดูงบฐานะการเงินออกกันบ้างนะคะ

เวลาดูงบเจ้แนะนำให้ดูเปรียบเทียบงบจากบริษัทในกลุ่มเดียวกันจะดีที่สุด

เช่นเราควรเปรียบเทียบงบ ais กับ true ไรงี้

ไม่ควรเอา ais ไปดูเทียบกับ ptt มันคนละเรื่องกัน

อย่างที่ฝรั่งว่าเปรียบเทียบ apple กับ apple อย่างงั้นล่ะคะ

แต่ไม่ใช่ว่าอ่านจบแค่นี้แล้ววิ่งเข้าไปซื้อหุ้นเลยนะคะ

ใจเย็นก่อนค้าาา ฝึกอ่านงบไปก่อน!

ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ

เอาไว้ครั้งหน้าเจ้จะมาสอนดูงบกำไรขาดทุนกันต่อค่า

โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ

. . .

ผู้เขียน : Kamonrat Sukruthaiworakul

เรียบเรียง : Sukrit Udom


 
 
 

Comments


bottom of page